สำหรับผู้ชาย MenDetails ที่มีความรับผิดชอบเรื่องการเงินและการลงทุน ที่ยึดมั่นในการลงทุนเน้นคุณค่า มีเหตุมีผล และเชื่อมั่นในพื้นฐานของกิจการ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตลาดหุ้นวันนี้อาจทำให้เราควรย้อนกลับมาตั้งคำถามว่า “โลกของการลงทุนมันเปลี่ยนไปแล้วจริงหรือไม่?”
เรากำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ที่ราคาหุ้นแทบทุกตัวดูเหมือนจะถูกผลักดันไปสู่ระดับที่ไม่สมเหตุสมผล ซึ่งเป็นผลพวงจากสองปัจจัยที่กำลังหลอมรวมกันอย่างอันตรายระหว่าง ความคาดหวังผลประกอบการที่เติบโต กับ สภาพคล่องทางการเงินที่ท่วมท้นระบบเศรษฐกิจ
หุ้นดีราคาไม่แพง “หายไป”
ในอดีต นักลงทุนที่ฉลาดจะใช้เวลาค้นหา “หุ้นดีราคาไม่แพง” แต่ในตลาดปัจจุบัน คุณจะพบว่าหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีการเติบโต และมีกระแสเงินสดมั่นคงนั้น ไม่มีราคาถูกเหลืออยู่แล้ว หรือถ้ามี ก็เป็นเพียงโอกาสชั่วพริบตาเดียวก่อนที่ “เงินที่ล้นระบบ” จะเข้ามาช้อนซื้อไปอย่างรวดเร็ว
“อย่าดักดานหาซื้อแต่หุ้นถูก”
ตลาดได้สร้าง “Narrative” (เรื่องเล่า) เรื่องใหม่ที่ทรงพลังขึ้นมาแทนที่แนวคิดเก่า ๆ นั่นคือ “ลงทุนกับของดีราคาแพงที่จะแพงขึ้นเรื่อย ๆ ดีกว่า”
นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าและพื้นฐานของธุรกิจในยุคก่อน จะมองหาหุ้นที่มีมูลค่าตลาด (Price) ต่ำกว่า มูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) โดยอ้างอิงจากกำไรและกระแสเงินสดในปัจจุบันและอนาคต ด้วยส่วนเผื่อความคาดหวังที่ไม่ได้สูงมากนัก แถมยังต้องมีส่วนเผื่อความปลอดภัยมาก ๆ เพื่อป้องกันการขาดทุน กล่าวคือไม่จำเป็นต้องโตเยอะ ๆ ต่อเนื่องหลายปี ราคานี้ก็ยังโอเค สามารถลงทุนแล้วคาดหวังกำไรได้ไม่ยาก
แต่ในสภาพแวดล้อมที่สภาพคล่องล้นและหุ้นดีราคาย่อมเยาหายไปหมดแล้ว นักลงทุนหลายคนจึงค่อย ๆ ถูก “ชักจูง” ให้ต้องปรับเปลี่ยนกรอบคิดกลายเป็น “นักลงทุนที่ยืดหยุ่นขึ้น” มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นในปัจจุบันเริ่มแขวนไว้กับความคาดหวังในการเติบโตก้าวกระโดดในอนาคตอันไกลโพ้น และต้องเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องด้วย
แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า บริษัทที่เติบโตเร็วและมีนวัตกรรมควรมีราคาส่วนเกิน (Premium) เป็นเรื่องปกติของตลาด และตราบใดที่บริษัทนั้นยังคงเป็นผู้นำและสร้างการเติบโตเหนือตลาดได้ ราคาของมันก็จะสามารถปรับขึ้นไปเรื่อย ๆ ได้ ดังนั้นการซื้อหุ้นถูกที่ไม่ได้มีความคาดหวังเรื่องการเติบโตสูง จึงกลายเป็นเรื่อง “ดักดาน” และอาจทำให้พลาดโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งอย่างแท้จริง
ความคาดหวังต่ออนาคตของบริษัทเหล่านี้ จึงไม่ได้ถูกตรวจสอบด้วยตัวเลขพื้นฐานปัจจุบันเพียงอย่างเดียว แต่ถูก “Verify” หรือ “พิสูจน์ว่าถูกต้อง” ซ้ำ ๆ หลายครั้งด้วยเงินก้อนใหม่ของนักลงทุนจำนวนมากที่เข้ามาร่วมวงลงทุนไปกับหุ้นที่มีความคาดหวังสูง ๆ เหล่านี้ เราเห็นหุ้นเทคโนโลยีมากมาย ที่ราคาพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ต่อเนื่องไม่หยุด แพงแล้วก็แพงได้อีก และเมื่อผู้คนได้เห็นการ Verify แบบนี้ซ้ำ ๆ ความรู้สึกว่าแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันก็จะก่อตัวขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
เงินที่ “ไร้ที่ไป” และแรงบีบจากเงินเฟ้อ
ปัจจัยสำคัญที่เติมเชื้อเพลิงให้กรอบความคิดดังกล่าวคือ สภาพคล่องที่ล้นระบบ และ แรงกดดันจากเงินเฟ้อ ที่ทำให้เงินฝากที่อยู่ในธนาคารของผู้คนถูกบั่นทอนให้ “สูญเสียอำนาจซื้อ” อย่างช้า ๆ เมื่อมีเงินจำนวนมากอยู่ในระบบที่ไม่มีทางเลือกดี ๆ ที่จะรักษามูลค่าได้ ตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูง แม้จะมีความเสี่ยง ก็กลายเป็นทางออกที่น่าสนใจที่สุดสำหรับทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยที่ถูก “บีบให้เสี่ยง” โดยภาวะเงินเฟ้อ คำพูดในเชิงที่บอกว่า “อย่าออมเงินอย่างเดียว ต้องนำเงินไปลงทุนด้วย” ก็กลายเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจำเป็นต้องทำ ถ้าไม่อยาก “จนลงเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ แต่แน่นอน”
“Ponzi Scheme” ที่ดูสมเหตุสมผล
ในแง่หนึ่ง ภาพรวมตลาดแบบนี้เริ่มมีลักษณะที่คล้ายกับ “Ponzi Scheme” ที่ถูกเคลือบด้วยเหตุผลชั้นดี โดยเริ่มต้นจากการที่มีบริษัทที่ทำกำไรและเติบโตได้ดีเยี่ยมอยู่จริง จากนั้นเงินทุนใหม่ไหลเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง และด้วยกรอบความคิดที่ยืดหยุ่น โดยระบุว่า “ของดีมันต้องแพงเป็นเรื่องธรรมดา” สภาพคล่องของนักลงทุนใหม่ที่เข้ามาเพื่อหวังซื้อ “ของแพงที่จะแพงขึ้นอีก” ก็จะยิ่งผลักดันราคาให้สูงขึ้นไป กลายเป็นการตอกย้ำว่า แนวคิดนี้แหละที่ถูกต้องแล้ว วนไปลูปไปไม่จบสิ้น
ตราบใดที่ความคาดหวังในการเติบโตของบริษัทยังคงมีอยู่ เมื่อบวกกับสภาพคล่องล้นโลกที่ยังคงดำเนินต่อไป วงจรนี้ก็จะยังไม่แตกสลาย คนส่วนใหญ่จะมองว่ามันคือ “ความปกติใหม่” ไม่ว่าราคาหุ้นของบริษัทนั้นจะสูงจนหลุดโลกแค่ไหนก็ตาม
“การเมือง” ที่ผูกติดกับ Wealth ของประชาชน
นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้ Ponzi Scheme นี้แข็งแกร่งกว่าในอดีตอยู่ที่ “มิติทางการเมือง” โดยเกิดขึ้นในหลายประเทศ ที่ความมั่งคั่ง (Wealth) และอนาคตของประชาชนจำนวนมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นกองทุนเกษียณอายุ, สวัสดิการสังคม หรือบัญชีลงทุนส่วนตัว ได้ผูกติดอยู่กับมูลค่าของตลาดหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างเช่นในประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา รัฐบาลในประเทศเหล่านั้นจะไม่สามารถนิ่งดูดายปล่อยให้ตลาดเกิดความเสียหายอย่างง่ายดายและถาวร เนื่องจากนั่นหมายถึงการทำลายความมั่งคั่งส่วนบุคคลของพลเมืองส่วนใหญ่ และเป็นการ “ฆ่าตัวตายทางการเมือง” จนสูญเสียคะแนนความนิยมที่จะกระทบความมั่นคงของรัฐบาลตัวเอง กลายเป็นเหตุผลที่อำนาจรัฐมีแนวโน้มที่จะ “อุ้ม” ระบบนี้เอาไว้ด้วยการอัดฉีดข้อมูลข่าวสารและสภาพคล่องที่จะทำให้ตลาดหุ้น ยังคงเติบโตต่อไปได้เรื่อย ๆ เสมอ ห้ามทรุดยาวเด็ดขาด
แล้วเราควรทำอย่างไร?
ทางเลือกที่ 1 ถ้าเราคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรผิดปกติ ด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าการเติบโตของนวัตกรรมและความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทนั้น ๆ จะสูงเกินกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ได้จริง ๆ บวกกับสภาพคล่องล้นโลกที่จะยังคงหนุนตลาดต่อไป เช่นนั้นเราก็สามารถลงทุนต่อไปได้ แต่ควรทำด้วย ความระมัดระวังอย่างถึงที่สุด และพร้อมที่จะปรับตัวทันทีที่สัญญาณแห่งความผิดปกติปรากฏ
ส่วนทางเลือกที่ 2 ถ้าเราเริ่มสงสัยว่ามันผิดปกติจริง ๆ เมื่อสัญชาตญาณของการเป็นนักลงทุนที่มีเหตุผลเริ่มบอกคุณว่า “มันไม่ควรจะเกินเหตุขนาดนี้” นั่นคือสัญญาณว่าเราต้องกลับไปตั้งคำถามกับ “ความปกติ” ที่เราเคยเชื่อมาตลอด การดึงสติครั้งนี้ต้องไม่หยุดแค่การประเมินราคาหุ้น แต่รวมถึงการตั้งคำถามกับแก่นแกนของระบบการเงินที่เราอาศัยอยู่
“เงินเฟ้อที่เหมาะสมคือ 2%” ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่แท้จริงที่สะท้อนค่าครองชีพของคุณหรือไม่?
“ออมเงินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเอาไปลงทุนด้วย” แต่การลงทุนที่มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ถูกบีบให้เข้าร่วมนั้น ในยุคที่บริษัทดี ๆ มีจำกัด แต่เงินสร้างได้ไม่จำกัด มันคุ้มค่ากับความสงบในจิตใจของเราหรือเปล่า?
“ลงทุนในของดี แม้ราคาแพง แต่มันจะแพงขึ้นเรื่อย ๆ” สิ่งที่คุณกำลังซื้อคือ มูลค่า ที่กำลังเติบโต หรือเป็นเพียง Ponzi Scheme ที่ก่อร่างสร้างขึ้นด้วยความโลภของผู้คน?
และคำถามสำคัญที่สุดที่ผู้ชายที่มีความรับผิดชอบควรพิจารณาในยุคนี้คือ เมื่อความมั่งคั่งของเราต้องพึ่งพิงอยู่กับตลาดที่ถูกขับเคลื่อนด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง แล้วเราจะมีสินทรัพย์ใดเป็นที่พึ่ง ที่ไม่สามารถถูกลดมูลค่าหรือถูกแทรกแซงโดยกลไกของรัฐและธนาคารกลางได้ และไม่ว่าจะราคาสูงขึ้นไปแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา เพราะมันไม่ได้มี “พื้นฐาน” ใด ๆ ให้สูงเกินไปตั้งแต่แรก
จัดการการเงินของเราอย่างมีสติ อย่าให้เงินที่ล้นระบบมาบีบให้คุณกลายเป็น “นักเสี่ยงโชค” โดยไม่จำเป็น จงเป็นผู้ชายที่ควบคุมเกมการเงินของตัวเอง และแสวงหาสิ่งที่คงมูลค่าข้ามผ่านกาลเวลาได้อย่างมั่นคง เพื่อเป็นหลักประกันให้กับอิสรภาพทางการเงินของเรา