หากพูดถึงผู้ที่ปฏิเสธการเป็นเจ้าของสินทรัพย์เพื่อแลกกับอิสรภาพ หนึ่งในคนที่กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนที่สุดก็คือ Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง Telegram ที่ยืนยันว่าเขาไม่ซื้อบ้านหรือเครื่องบินส่วนตัว เพราะมองว่าสินทรัพย์เหล่านั้นเป็นภาระที่ผูกมัดชีวิตและจำกัดอิสรภาพในการสร้างสรรค์ ฟังผ่าน ๆ เป็นคำพูดจากมหาเศรษฐีที่มีเงินมากมายพอจะเสกอะไรก็ได้ให้ชีวิต แต่หากคิดตามให้ดีปรัชญาเช่นนี้อาจไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดส่วนตัวอีกต่อไป เพราะมันกำลังจะกลายเป็นเทรนด์สำคัญในยุคที่ สินทรัพย์ดิจิทัล กำลังเข้ามาเปลี่ยนโลกในปัจจุบันและอนาคต
Pavel Durov เมื่ออิสรภาพคือสิ่งสำคัญสูงสุด
Pavel Durov คือหนึ่งในผู้ก่อตั้งและ CEO ของแอปพลิเคชันสื่อสารชื่อดังอย่าง Telegram ซึ่งมีผู้ใช้งานมากกว่า 900 ล้านคนทั่วโลก นอกเหนือจากความสำเร็จในโลกเทคโนโลยีแล้ว เขายังเป็นที่รู้จักจากปรัชญาการใช้ชีวิตแบบสุดโต่ง เขาปฏิเสธการเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางกายภาพมูลค่าสูง เช่น บ้าน, รถยนต์, หรือเรือยอชท์ โดยให้เหตุผลว่าสิ่งเหล่านี้คือภาระที่ผูกมัดชีวิตและจำกัดอิสรภาพของเขา
สำหรับ Durov แล้ว การเป็นเจ้าของสิ่งของคือการเพิ่มความกังวลและความยุ่งยาก เขาต้องการทุ่มเทเวลาและพลังงานทั้งหมดไปกับการพัฒนา Telegram เพื่อให้เป็นแพลตฟอร์มที่ตอบสนองความต้องการของผู้คนได้อย่างแท้จริง แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมของคนรุ่นใหม่ที่เริ่มให้ความสำคัญกับ ความคล่องตัว (Mobility) และ ประสบการณ์ (Experience) มากกว่า การครอบครอง (Possession)
Physical Asset กลายเป็นแค่ทางเลือก
แนวคิดของ Pavel Durov สอดคล้องอย่างยิ่งกับสถานการณ์ของโลกยุคใหม่ ที่สินทรัพย์ที่มีตัวตนชิ้นสำคัญอย่าง “อสังหาริมทรัพย์” มีราคาสูงจนเกินกำลังซื้อของคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ การซื้อบ้านเพื่อเป็นเจ้าของโดยตรงจึงกลายเป็นเรื่องเกินเอื้อมไปเสียแล้ว และทำให้หลายคนเลือกมองหาที่อยู่อาศัยด้วยการ “เช่า” ที่ให้ความยืดหยุ่นและคล่องตัวมากกว่าแทน ไม่ว่าจะด้วยความเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนั้น หลายฝ่ายจึงกังวลว่าคนรุ่นใหม่จะไม่สามารถสร้างความมั่งคั่งจากออมเงินและลงทุนในสินทรัพย์ชิ้นสำคัญอย่าง “บ้านและที่ดิน” อย่างไรก็ตามด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่การเลือกที่จะไม่ซื้อบ้านไม่ได้แปลว่าพวกเขาเหล่านั้นจะหยุดออมเงินและลงทุนไปโดยสิ้นเชิงแต่อย่างใด เพียงแต่พวกเขาจะเปลี่ยนทิศทางจากการออมและการลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ มาสู่ สินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเข้ามาเป็นทางออกที่สมบูรณ์แบบสำหรับคนในยุคนี้และในอนาคต
Physical Asset vs Digital Asset
หากมองในมุมมองของ Pavel Durov จะพบว่าการออมและการลงทุนใน digital asset นั้น ตอบโจทย์และตรงกับวัตถุประสงค์ในการใช้ชีวิตของเขาอย่างชัดเจน เพราะมีปัจจัยสำคัญคือเรื่องของ ความคล่องตัว ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
สินทรัพย์ทางกายภาพ หรือ Physical Assets อย่างบ้าน, ที่ดิน, คอนโดมิเนียม, รถหรู, เรือยอร์ช มีข้อดีที่ให้ความรู้สึกมั่นคงเพราะเป็นสิ่งที่เราจับต้องได้เป็นตัวเป็นตน เป็นหลักประกันทางสังคมและสามารถใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตประจำวัน แต่ข้อเสียที่ติดตัวสินทรัพย์แบบนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย ตัวอย่างเช่นความคล่องตัวในการซื้อขาย บ้านและที่ดินที่มีราคาสูงอาจต้องใช้เวลานานมากว่าจะหาคนซื้อได้ แถมเวลาขายส่วนใหญ่ก็ต้องขายทั้งแปลง จะแบ่งขายบ้านแค่ครึ่งเดียวก็คงแปลกอยู่
นอกจากนั้นสินทรัพย์ที่มีตัวตนเหล่านี้ยังมีภาระมากมายในการดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพดีซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายแฝงที่หลายคนมองไม่เห็นหรือเลือกที่จะมองข้ามไป อีกทั้งเราไม่สามารถเคลื่อนย้ายสินทรัพย์เหล่านี้ไปไหนมาไหนติดตามตัวเราได้ทุกที่อย่างใจนึก เราไม่สามารถพกที่ดิน 1 ไร่หรือคอนโดกลางเมือง 1 ห้อง ใส่กระเป๋าบินไปต่างประเทศกับเราได้ แถมสินทรัพย์เหล่านี้มีหลักแหล่งชัดเจนจนกลายเป็นเป้านิ่งให้มีการเก็บภาษีสินทรัพย์ได้ง่ายดายอีกด้วย
มองมาทางฝั่ง สินทรัพย์ดิจิทัล ที่จับต้องไม่ได้ หรือ Digital Asset อย่างเช่น Bitcoin ที่มีข้อดีคือสภาพคล่องที่สูงกว่ามาก เพราะสามารถแบ่งเป็นหน่วยย่อยได้ง่ายกว่า จะขายแค่บางส่วนหรือแค่เศษเสี้ยวเดียวก็ได้ และในปัจจุบันก็มีตลาดซื้อขายทั่วโลก สามารถโอนย้ายข้ามประเทศหรือข้ามทวีปได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่กลายเป็นสิ่งจำเป็นของมนุษยชาติไปแล้วในยุคปัจจุบัน อีกทั้งเป็นสินทรัพย์ที่มีผู้ยอมรับในคุณค่าของมันกระจายอยู่ทั่วโลก ทำให้เราสามารถนำ Digital Asset ไปขายให้ใครก็ได้ที่ยอมรับมัน ต่างจากที่ดินหรือบ้านที่เราเป็นเจ้าของในประเทศไทย เมื่อเวลาจะขายก็ต้องขายให้คนไทยหรือคนต่างประเทศที่อาศัยอยู่ในไทยเป็นหลักเท่านั้น
อย่างไรก็ดี Digital Asset เองก็มีข้อเสียตรงที่ยังมีความผันผวนของราคาที่สูงมาก การขึ้นลงของราคาที่เหวี่ยงอย่างรุนแรงทำให้หลายคนที่คุ้นชินกับความนิ่งของราคาบ้านและที่ดินกลับรู้สึกไม่มั่นคงและหวั่นใจเมื่อจะเปลี่ยนมาเก็บความมั่งคั่งไว้ใน digital asset แทน อีกทั้งสินทรัพย์ประเภทนี้ยังอายุน้อยเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ทำให้กฎระเบียบที่เป็นทางการนั้นยังไม่ลงตัวและชัดเจนเต็มที่ในปี 2025 นี้ ตัว Digital Asset จึงต้องการเวลาที่จะพิสูจน์ตัวเองและทำให้ราคาของมัน “นิ่ง” มากขึ้นกว่านี้
“แต่เราอยู่อาศัยใน Digital Asset ไม่ได้”
อีกหนึ่งข้อถกเถียงสำคัญก็คือ Digital Asset เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ และที่สำคัญเราไม่สามารถเข้าไปอาศัยกินอยู่หลับนอนใน Digital Asset ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ดี การไม่ได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่มีที่พักพิงอาศัย แต่มันคือการเปลี่ยนมุมมองจากการ “ครอบครอง” (Owning) ไปสู่การ “เข้าถึง” (Accessing) มากกว่าแทน
หากในอดีตเราสร้างความมั่นคงด้วยการมีบ้านเป็นของตัวเอง ในอนาคตเราอาจสร้างความมั่นคงด้วยการมีสินทรัพย์ดิจิทัลที่เราสามารถพกพาติดตัวได้ง่ายและสามารถแลกเปลี่ยนเป็นค่าใช้จ่ายในการเช่าที่พักหรือเดินทางไปทั่วโลกได้ตามต้องการแทนได้ โดยไม่จำเป็นต้องผูกติดตัวเองอยู่กับที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานาน ๆ เป็นการเพิ่มอิสรภาพในการใช้ชีวิต ในโลกที่เคลื่อนไหวรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารและการเดินทางที่ก้าวหน้าและจะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต เปรียบเทียบไปก็คล้ายการเปลี่ยนผ่านจากการซื้อ เทป, ซีดี หรือ วีดีโอมาเป็นเจ้าของโดยเพลงเพื่อดูหนังฟังเพลง กลายมาเป็นการ Subscribe บริการดูหนังฟังเพลงแบบออนไลน์แทนในยุคปัจจุบัน แม้เราไม่ได้เป็นเจ้าของแต่เราก็เข้าถึงความบันเทิงเหล่านี้ได้เสมออยู่ดี
World Citizen
จากแนวคิดของ Pavel Durov ที่เลือกอิสรภาพเหนือความเป็นเจ้าของทรัพย์สิน MenDetails เชื่อว่าก้าวต่อไปคือการที่เราจะเห็นคนรุ่นใหม่หันมาให้ความสำคัญกับ “ความคล่องตัว” และ “ความรวดเร็ว” ของสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งจะทำให้อิสรภาพในการเดินทางและการใช้ชีวิตในฐานะพลเมืองโลกหรือ World Citizen เป็นไปได้จริง เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราก็สามารถเข้าถึงความมั่งคั่งและสินทรัพย์ของเราได้เสมอ และยังสามารถบริหารความมั่งคั่งของตัวเราเองได้จากปลายนิ้ว เราคงต้องรอดูว่ากระแสการปรับตัวเข้าหา Digital Asset จะเป็นจริงหรือไม่ และจะรวดเร็วแค่ไหนในอนาคตอันใกล้นี้นะครับ