หลายคนคงเคยได้ยินแนวคิดที่ว่า “รัฐบาลคือผู้ดูแลประชาชน” หรือ “รัฐมีหน้าที่ทำให้ชีวิตของประชาชนดีขึ้น” ซึ่งอันที่จริงสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด เพราะรัฐบาลในอุดมคติควรจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น การฝากชีวิตไว้กับใครหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งแบบ 100% คือความเสี่ยงที่อันตรายยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด
การพึ่งพารัฐในทุกเรื่อง หรือเชื่อว่ารัฐจะคอยดูแลเราตั้งแต่สวัสดิการพื้นฐานไปจนถึงการดูแลในยามวิกฤตหรือแก่เฒ่า เป็นความคิดที่ดูสบายใจ แต่ในความเป็นจริงนั้น มันอาจทำให้เราติดกับดักของความคาดหวัง เมื่อใดก็ตามที่นโยบายของรัฐเปลี่ยนไป หรือรัฐบาลที่เราชื่นชอบไม่สามารถเข้ามาบริหารประเทศได้อีกต่อไป ก็กลายเป็นว่าชีวิตของเราเริ่มจะสั่นคลอนไม่มั่นคงทันที
แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราเริ่มเปลี่ยน Mindset ใหม่ ด้วยการมองว่าสวัสดิการของรัฐต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนฟรี, การรักษาพยาบาลฟรี, เงินช่วยเหลือ หรือโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแนว “ไปด้วยกัน” รูปแบบต่าง ๆ จะเป็นเพียง “โบนัสเสริม” หรือ “ตัวช่วยพิเศษ” ที่จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องพึ่งพาเป็นหลักในชีวิตแต่อย่างใด เรียกว่า “จะมีให้เราได้ก็ดี แต่ถ้าไม่มี… เราก็ไม่ตาย”
เศรษฐกิจไม่ดี ก็ต้องพึ่งรัฐสิ?
จริงอยู่ว่าในยุคที่เศรษฐกิจไม่ดี ข้าวยากหมากแพง การดำรงชีวิตเป็นเรื่องยากลำบาก และหลายคนเลือกที่จะเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ แต่เราต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะบันดาลทุกอย่างได้ตามใจนึก เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ความพยายามของรัฐที่จะช่วยเหลือประชาชนก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะนำไปการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหมายถึงการเพิ่มหนี้สินของประเทศและทำให้ “เงิน” ที่เราใช้อยู่นั้นด้อยค่าลง และนั่นก็จะวนลูปกลับไปสู่ปัญหาเรื่องราคาสินค้าและราคาทรัพย์สินอย่างบ้านและที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่จบสิ้นจนคนรุ่นใหม่ไม่สามารถซื้อหามาเป็นเจ้าของได้อีกต่อไป
ทำไมเราจึงควรพึ่งพาตนเองมากกว่าพึ่งพารัฐ?
การพึ่งพาตัวเองได้คือการเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต เมื่อคุณสามารถดูแลตัวเองได้ เราจะมีทางเลือกเพิ่มขึ้น ไม่ต้องง้อใครและไม่ต้องเฝ้ารอความช่วยเหลือจากใคร คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าจะเดินทางไปที่ไหน ทำงานแบบไหน หรือแม้กระทั่งเลือกนำเงินไปเก็บออมและลงทุนในสิ่งที่ชอบได้เอง ไม่ใช่ถูกบังคับให้ลงทุนในกองทุนที่สุดท้ายไม่ได้สร้างผลประโยชน์ให้กับเราได้จริงในบั้นปลาย
นอกจากนี้ Mindset ที่มุ่งเน้นการพึ่งพาตนเองจะผลักดันให้เราตระหนักว่าจะต้องพัฒนาทักษะของตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นทักษะในการทำงาน การบริหารเงิน หรือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะเรารู้ตัวว่าไม่มีใครจะมาช่วยเราได้ดีที่สุดนอกจากตัวของเราเอง แต่ในทางกลับกัน Mindset ดังกล่าวจะนำไปสู่ความมั่นคงที่แท้จริง ที่ไม่ได้มาจากนโยบายของใคร แต่มาจากความสามารถในการปรับตัวและอยู่รอดในทุกสถานการณ์ของตัวเราเอง
เริ่มต้น “เป็นที่พึ่งแห่งตน” ได้อย่างไร?
สำรวจและพัฒนาทักษะที่เราถนัดและสามารถสร้างรายได้ได้ ไม่ว่าจะเป็นงานประจำหรืองานเสริม โดยเฉพาะงานเสริมนอกเวลาที่เราควรมองหาช่องทางที่จะเพิ่มจำนวนและรายได้ เพื่อเป็นฐานและทางเลือกใหม่ นั่นเพราะไม่มีอะไรการันตีได้ว่างานประจำจะอยู่กับเราตลอดไป
ต่อมาก็ต้องเริ่มต้นออมเงิน เพื่อสร้าง “กองทุนส่วนตัว” สำหรับยามฉุกเฉิน โดยเน้นออมในเงินที่ไม่เสื่อมค่า หรือ “Sound Money” หรือเอานำเงินที่เหลือจากการเก็บออมไปลงทุนเพิ่มในทรัพย์สินที่จะมีโอกาสเพิ่มมูลค่าได้ในอนาคต เป็นการเพิ่มทางเลือกโดยไม่ต้องรอคอยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากรัฐเพียงอย่างเดียว
สุขภาพที่ดีเป็นอีกหนึ่งต้นทุนที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตเช่นกัน การดูแลสุขภาพ ศึกษาโภชนาการที่มีประโยชน์ต่อเรา และมองหารูปแบบการประกันสุขภาพที่เหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ในอนาคต
แม้เราจะบอกว่า รัฐบาลไม่ใช่เพื่อน แต่ MenDetails ก็ไม่ได้กำลังรณรงค์ให้พวกเราดื้อแพ่ง หรือไม่ยอมรับการช่วยเหลือใด ๆ จากทางการหรือรัฐบาลผู้มีอำนาจ แต่เรากำลังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่ว่า การฝากอนาคตไว้กับรัฐบาลเพียงอย่างเดียวเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง เราควรมุ่งเน้นการสร้างทางเลือก หรือ Option ที่เราควบคุมได้เองมากกว่าหวังพึ่งพาคนอื่นเพียงอย่างเดียว
ถ้าเราสามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างเต็มที่ และมองว่าสวัสดิการจากรัฐเป็นเพียงแค่ “โบนัส” ที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตแล้วล่ะก็ เราจะสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีอิสระมากขึ้น เพราะเราไม่จำเป็นต้อง “ง้อ” รัฐบาลมากเกินไป เพราะไม่ว่าเราจะมีแนวคิดทางการเมืองแบบใด แต่การอยู่อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรีก็ไม่ควรเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องคาดหวังว่าจะมีใครมอบให้เราได้ แต่ควรเป็นสิ่งที่เราแต่ละคนสร้างเองได้จะเป็นการดีกว่านะครับ