หากเราเป็นผู้ชายที่หมั่นศึกษาหาความรู้เรื่องของเศรษฐกิจและการเงินของตัวเองอยู่เสมอ เราคงจะคุ้นเคยกับคำว่า “เงินเฟ้อ” (Inflation) และ “เงินฝืด” (Deflation) ในฐานะสิ่งที่ควรระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข่าวเศรษฐกิจที่มักเชื่อมโยงเงินเฟ้อกับต้นทุนที่สูงขึ้น และเงินฝืดกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ประโยคที่เรามักจะได้ยินต่อมาก็คือ เศรษฐกิจจำเป็นจะต้องมี “เงินเฟ้ออ่อน ๆ” เพื่อกระตุ้นการบริโภค อันจะนำไปสู่การเติบโต (Growth) และจะต้องหลีกเลี่ยงภาวะเงินฝืดทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้ภาวะเศรษฐกิจหดตัวลงแบบ “ถอยหลังเข้าคลอง” จนกู่ไม่กลับ
แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากเราอยากจะนำเสนอว่า ภาวะที่เงินหดตัว หรือ Deflation อาจไม่ได้แย่ขนาดที่ใคร ๆ กลัวกัน และความจริงมันอาจเป็นหนทางไปสู่ ความอยู่ดีกินดี หรือ Properity ที่ไม่ได้จำเป็นต้องผูกติดกับการเติบโตเสมอไปแบบที่เศรษฐศาสตร์ยุคใหม่เชื่อถือกัน
Inflation for Growth
เงินเฟ้อในระดับที่เหมาะสมไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หากแต่มันคือกลไกหนึ่งที่ผลักดันให้เศรษฐกิจเดินหน้า เพราะเมื่อราคาสินค้าและบริการค่อย ๆ ปรับตัวสูงขึ้นในระดับที่ควบคุมได้ ผู้คนจะมีแรงจูงใจในการใช้จ่ายแทนการเก็บเงินไว้เฉย ๆ เพราะเงินวันนี้มีค่ามากกว่าเงินในอนาคต ภาคธุรกิจเองก็มีแรงกระตุ้นในการลงทุน ขยายกิจการ จ้างงานเพิ่ม ซึ่งล้วนแต่เป็นแรงผลักดันให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ในทางกลับกัน หากไม่มีเงินเฟ้อ เศรษฐกิจอาจหยุดชะงัก เพราะพฤติกรรมของเราจะมีแนวโน้มที่จะรอให้ของถูกลงก่อนจึงจะซื้อ ขณะที่ธุรกิจต่าง ๆ ก็ลังเลที่จะลงทุนเพราะรายได้ที่นับเป็นตัวเงินในอนาคตอาจเท่าเดิมหรือลดลง พอไม่มีใครจับจ่ายซื้อขายมากพอบวกกับไม่มีใครเอาเงินมาลงทุน สุดท้ายเศรษฐกิจก็จะซบเซาในวงกว้าง กลายเป็นที่ระบุว่า เราควรหลีกเลี่ยงภาวะเงินฝืดไม่ให้เกิดขึ้น เพราะมีแต่ความเสียหาย ไม่เป็นผลดีแต่อย่างใด
Deflation for Prosperity
แต่ถ้าเราไม่หลับหูหลับตาเชื่อย่อหน้าข้างบนแบบ 100% แล้วลองมองแบบสวนกระแสสักหน่อย เพื่อตั้งคำถามดูว่า ภาวะเงินฝืดมันมีแต่ข้อเสียจริงหรือ? ลองถาม google, chatgpt หรืออ่านบทความนี้ให้จบ แล้วเราอาจจะพบเหตุผลอีกฝั่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะอันที่จริงแล้วการเกิดภาวะเงินฝืด ก็อาจเป็นประโยชน์ในระยะยาว โดยเฉพาะในมิติของ “ความอยู่ดีกินดี” หรือ Prosperity ซึ่งไม่ได้มีความหมายเท่ากับคำว่า Growth เสมอไป
Human Behavior in Deflation
ในโลกของ Deflation ที่เงินในปัจจุบันไม่ด้อยค่าลง หรือแม้แต่ค่อย ๆ ทวีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต จนทำให้สินค้าและบริการต่าง ๆ มีราคาคงที่หรือลดลงเรื่อย ๆ สิ่งนี้จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนได้อย่างชัดเจน เพราะพวกเราจะตั้งสติก่อนใช้จ่ายเงินแต่ละบาทมากขึ้น ไม่รีบเร่งใช้จ่ายโดยไม่ผ่านการไตร่ตรอง ซึ่งจะช่วยลดความคิดของลัทธิบริโภคนิยม หรือ “ของมันต้องมี” ลงได้อย่างอัตโนมัติ เนื่องจากเราคาดการณ์ได้ว่าสินค้าอาจมีราคาลดลง หรือมีคุณภาพดีขึ้นในอนาคต
ในโลกของเงินฝืด การออมเงินจะกลายเป็นพฤติกรรมที่มี “รางวัล” เพราะเงินในวันนี้อาจซื้อของได้มากขึ้นในอนาคต ผู้คนจึงมีแรงจูงใจที่จะออมเงินเอาไว้เผื่อใช้จ่ายในยามฉุกเฉินมากกว่าภาวะเงินเฟ้อที่จะจูงใจให้เราเอาเงินไปซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ เป็นหลัก หรือไม่ก็ต้องเอาเงินไปเสี่ยง “ลงทุน” (invest) ในทรัพย์สินต่าง ๆ เพื่อมุ่งเอาชนะเงินเฟ้อให้ได้ทุกปีไม่มีจบสิ้น
นอกจากนี้ การออมเงิน คือสิ่งพื้นฐานที่คนเราทุกคนเรียนรู้ได้โดยธรรมชาติ ไม่มีตัวเลขอะไรซับซ้อน ไม่ว่าจะมีอาชีพอะไร มีการศึกษาระดับเท่าไหร่ ทุกคนรู้ได้โดยทันทีว่าการออมเงินทำยังไง ซึ่งแตกต่างจากการพยายามเรียนรู้เรื่องการลงทุน ที่ต้องใช้ความรู้ที่ซับซ้อนกว่ามาก
ลองจินตนาการถึงผู้คนในชนบทห่างไกล ที่จะต้องมาคอยดูว่า ดัชนีหุ้นไทย, เวียดนาม หรือ S&P500 วันนี้จะขึ้นหรือลง เพียงเพื่อพยายามที่จะให้ตัวเองหนีอัตราเงินเฟ้อได้ในแต่ละปี จะดีกว่าไหมถ้าเขาแค่เรียนรู้ที่จะ “ออมเงิน” ก็เพียงพอที่จะทำให้เขามั่นใจได้ว่าชีวิตในอนาคตจะไม่ลำบาก เพราะเงินของเขาจะมีค่าเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น ไม่ลดลงเรื่อย ๆ แบบในภาวะเงินเฟ้อ
ธุรกิจต่าง ๆ ในยุคเงินฝืดต้องแข่งขันกันที่คุณภาพมากขึ้นและต้องตอบโจทย์เราจริง ๆ เพราะคนในสังคมเลือกซื้อสินค้าอย่างมีสติและใช้เหตุผลมากขึ้น ไม่บริโภคตามกระแสแบบสังคมเงินเฟ้อ นั่นหมายความว่านักธุรกิจเองก็จะลงทุนอย่างมีสติมากขึ้นด้วย ไม่บุ่มบ่ามลงทุนเพื่อตามกระแสและหวังรวยเร็ว ๆ มากเท่าสังคมเงินเฟ้อ
ทั้งหมดนี้อาจฟังดูขัดแย้งกับสิ่งที่ระบบทุนนิยมกระแสหลักสอนเรา แต่นี่คือพฤติกรรมที่สร้างสังคมที่มีวินัย ยั่งยืน และเติบโตในเชิงคุณภาพ ไม่ใช่แค่ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจ หรือ GDP ที่เรามักเห็นนักการเมืองและนักเศรษฐศาสตร์ของประเทศต่าง ๆ นำมาอวดใส่กัน
ในแง่นี้ ภาวะเงินฝืดกลายเป็นภาพสะท้อนของ “ความมั่งคั่งร่วมกัน” ซึ่งแตกต่างจากเงินเฟ้อที่แม้จะเร่งให้เศรษฐกิจเติบโต แต่ก็มักสร้างภาระให้กับประชาชนที่มีรายได้น้อยหรือทรัพย์สินไม่เพียงพอป้องกันความเสื่อมค่าของเงิน
Balance is Everything
MenDetails เองไม่ได้อยากจะฟันธงว่า “เงินเฟ้อดีกว่า” หรือ “เงินฝืดดีกว่า” แต่เราเพียงต้องการที่จะกระตุ้นต่อมการตั้งคำถามว่า การที่เศรษฐศาสตร์พูดว่า “เงินฝืดคือสิ่งเลวร้าย” มันเป็นความจริงแค่ไหน? มีเหตุผลอะไรที่พอมาหักล้างได้หรือไม่? เพราะหากเราค้นคว้าเพิ่มเติมมากกว่าแค่เชื่อในสิ่งที่ “เขาว่ามา” เราจะพบองค์ความรู้จำนวนไม่น้อยที่นำเสนอแง่ดีของภาวะเงินฝืด แม้เงินเฟ้ออาจเป็นเครื่องมือกระตุ้นการเติบโต (Growth) แต่ในระยะยาว ความอยู่ดีกินดี (Prosperity) ของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมอาจไม่ได้มาจาก Growth ที่พยายามจูงใจให้มนุษย์บริโภคเสมอไป
ผู้ชายที่พยายามทำความเข้าใจเรื่องนี้ จึงไม่ได้มองเพียงตัวเลขการเติบโต หรือ GDP ที่ผู้มีอำนาจมักอ้างว่านี่คือผลงานชั้นยอดของตัวเอง แต่เรียนรู้ที่จะอ่าน “ทิศทาง” และ “คุณภาพ” ของการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น เพราะความมั่งคั่งที่แท้จริง ไม่ได้มาจากการเร่งใช้จ่าย แต่มาจากการวางแผนอย่างชาญฉลาดในจังหวะที่เหมาะสม และนั่นคือการพยายามตั้งคำถามเพื่อเป็นผู้ชายที่ดีขึ้นกว่าเดิมในความคิดของ MenDetails ครับ