เคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราทุกคนมาก ๆ อย่าง “เงิน” (Money) ที่เราใช้จ่ายกันอยู่ในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะใช้เงินซื้อข้าวกิน ซื้อกาแฟดื่ม เอาไปเติมน้ำมัน หรือแม้กระทั่งซื้อความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ตัวเอง แล้วทำไมคนไทยถึงเรียกสิ่งนี้ว่า “เงิน” และใช้หน่วยเรียกเป็น “บาท” กันล่ะ? นี่อาจเป็นคำถามใกล้ตัวสุด ๆ จนเราอาจไม่ได้ใส่ใจหรือมองข้ามมันไป แต่เรื่องนี้มีที่มาที่ไปน่าสนใจมาก วันนี้ MenDetails จะมาเล่าเรื่องที่เหมือนจะไม่สำคัญแต่ความจริงสำคัญสุด ๆ แบบนี้ให้ฟังพอสังเขปแบบเข้าใจง่าย ๆ กันครับ
“เงิน” คำเรียกที่มาจากโลหะจริง
คำว่า “เงิน” ที่เราใช้แลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าและบริการกันนั้น มีความหมายหลายชั้นมากกว่าที่เราคิด ที่มาที่ไปของชื่อเรียกนี้ต้องย้อนกลับไปในสมัยโบราณ แต่เดิมมนุษย์เราไม่ได้ใช้เหรียญหรือธนบัตรอย่างในทุกวันนี้ แต่ใช้การแลกเปลี่ยนสิ่งของกันโดยตรง เช่น ข้าว ปลา เกลือ หรือวัตถุที่สังคมเห็นร่วมกันว่ามีคุณค่า พอกาลเวลาผ่านไป การแลกเปลี่ยนสิ่งของเริ่มไม่สะดวก ข้าวก็เน่า ปลาก็แห้งหมดอายุ มนุษย์จึงริเริ่มใช้โลหะมีค่ามาแลกเปลี่ยนกันแทน
โดยโลหะที่คนไทยและในอาณาจักรใกล้เคียงยุคโบราณ เลือกให้นำมาใช้ในการแลกเปลี่ยนสิ่งของต่าง ๆ คือโลหะเงิน (Silver) ซึ่งเป็นแร่ที่มีสีขาวเป็นประกาย หาได้ยากพอประมาณ (ไม่ยากเกินไปเหมือนทองคำหรือแพลตตินั่ม) และมีค่ามากเพราะถูกนำมาทำเป็นเครื่องประดับและของมีค่าต่าง ๆ โลหะเงินถูกนำมาใช้เป็นวัตถุแลกเปลี่ยนเพราะว่ามีความมั่นคงกว่าอาหารหรือสิ่งของอื่น ๆ อีกทั้งคงทนไม่มีการเน่าเสีย สามารถนำไปหลอมและหล่อใหม่ได้ง่าย และยังมีมูลค่าทางสากลที่ทุกคนทราบกันดี เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป โลหะเงินก็ถูกใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตเหรียญและสิ่งของที่เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยน จนสุดท้ายกลายเป็นชื่อที่คนไทยใช้เรียกเงินหรือ “Money” กันติดปากมาถึงทุกวันนี้แม้เราจะไม่ได้ใช้แร่เงิน (silver) มาแลกเปลี่ยนกันจริง ๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้วก็ตาม
แล้วทำไมถึงเรียกหน่วยของเงินว่า “บาท”
เมื่อพูดถึงเงิน สิ่งที่มาคู่กันคือ “หน่วยนับ” ซึ่งในประเทศไทยเราเรียกหน่วยของเงินของเราว่า “บาท” ที่มาของชื่อเรียกนี้มาจากหน่วยชั่งน้ำหนักของไทยในอดีต คนไทยโบราณใช้ “บาท” เป็นหน่วยวัดน้ำหนักสำหรับการชั่งทองคำและแร่เงิน โดยน้ำหนัก 1 บาท จะเทียบได้กับประมาณ 15.16 กรัม ตามหลักการชั่งน้ำหนักแบบเมตริก (Metric) โดยคนไทยเราใช้หน่วยน้ำหนักของแร่เงินเป็น “บาท” เพื่อเป็นหน่วยนับเงินตลอดมา
เมื่อเวลาผ่านไปจนมีการคิดค้นเหรียญและธนบัตรต่าง ๆ ขึ้นมา แต่เราก็ยังคงชื่อเรียกหน่วยของเงินว่า “บาท” มาจนถึงทุกวันนี้ คำว่า “บาท” ที่เรารู้จักจึงไม่ได้หมายถึงแค่ “ตัวเลข” บนธนบัตรหรือเหรียญเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงไปถึงมาตรฐานการวัด “น้ำหนัก” ของโลหะเงินในอดีตอีกด้วย แม้ในปัจจุบันเราไม่ได้ใช้หน่วยน้ำหนักบาทเป็นหน่วยวัด “เงินตรา” (fiat money) ที่เราใช้แลกเปลี่ยนสินค้ากัน แต่เรายังคงใช้หน่วย “บาท” ในการชั่งน้ำหนักของทองคำที่ซื้อขายกันอยู่ในปัจจุบัน
วิวัฒนาการของเงินไทย
ระบบเงินตราของไทยมีวิวัฒนาการไปตามยุคสมัย จากแท่งโลหะเงินที่ใช้แลกเปลี่ยนกันโดยตรงในสมัยโบราณ มาสู่ “พดด้วง” ซึ่งเป็นเงินตราที่มีลักษณะคล้ายลูกปัดกลม ๆ มีการตอกประทับตราประจำแผ่นดินและตราประจำรัชกาลลงไป เริ่มใช้ตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย ต่อเนื่องมาถึงอยุธยา, กรุงธนบุรี จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น รวมแล้วกว่า 600 ปี จนกระทั่งเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ประเทศไทยเริ่มรับเอาแนวคิดการใช้เหรียญและธนบัตรมาจากตะวันตก รัฐบาลสยามในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เริ่มผลิตเหรียญกษาปณ์ด้วยเครื่องจักรสมัยใหม่ที่ลักษณะเป็นเหรียญรูปร่างแบน ต่อเนื่องมาในรัชกาลที่ 5 ที่มีการผลิตเหรียญ 1 บาท เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการผลิตเงิน ในการนำมาทำธุรกรรมการค้าที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งเหรียญบาทแต่ละเหรียญยังคงทำจากแร่เงินที่มีน้ำหนักประมาณ 1 บาท หรือราว 15 กรัมอยู่นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม พอเข้าสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 6 ต้นทุนแร่เงินที่นำมาทำเหรียญนั้นสูงขึ้นมาก ประกอบกับความจำเป็นในการใช้งบประมาณที่เพิ่มขึ้นของประเทศในภาวะสงคราม ทำให้การผลิตเหรียญเงิน 1 บาทไม่สามารถใช้แร่เงินทั้งหมดแบบ 100% ได้ ไทยจึงได้หยุดผลิตเหรียญ 1 บาท โดยเปลี่ยนไปออกเป็น ธนบัตร 1 บาท ที่ทำจากกระดาษแทน และผลิตเหรียญ 2 สลึง ด้วยการผสมโลหะทองแดงเข้ามาในอัตราส่วน เงิน 80% ทองแดง 20% หลังจากนั้นเป็นต้นมา เหรียญเงินบาทไทย ก็ไม่เคยทำขึ้นจากแร่เงิน (Silver) แบบ 100% เต็ม ๆ เหรียญอีกเลย อีกทั้งยังถูกลดจำนวนแร่เงินลงไปเรื่อย ๆ จนในปัจจุบันเหรียญ 1 บาทไม่มีแร่เงินจริง ๆ ผสมอยู่อีกแล้ว และไม่ได้มีน้ำหนักประมาณ 15 กรัม อีกต่อไปด้วย
คุณค่าของเงินตราในปัจจุบัน
จากข้อมูลล่าสุดในเดือนมกราคม 2568 แร่เงิน (silver) มีราคาในตลาดโลกที่ประมาณ 31 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาต่อ 1 ออนซ์ ซึ่งถ้าแปลงกลับมาเป็นน้ำหนัก 1 บาท แร่เงินจะมีราคาที่ประมาณ 15.19 ดอลลาร์ต่อ น้ำหนัก 1 บาท หรือราว 515 บาทเมื่อวัดในหน่วยเงินตรา (fiat money) ของไทยในปัจจุบัน พูดอีกอย่างก็คือ เงินบาทของไทย ด้อยค่าลงมา 515 เท่าตัว หรือลดลงมา 99.485% นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 จนถึงปี 2567 นั่นเอง
ปัจจุบัน “เงิน” เป็นมากกว่าสิ่งที่เราใช้แลกเปลี่ยนเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการ แต่ “เงิน” เป็นตัวแทนของความมั่งคั่งที่ส่งผลต่ออำนาจและพลังในการตัดสินใจในทุก ๆ สิ่ง ทุกกิจกรรมของมนุษย์ล้วนขับเคลื่อนด้วยเงิน ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจ สังคม การบริหารจัดการ รวมถึงการวางแผนชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคต เงินเข้าไปอยู่ในทุก ๆ ส่วนของกิจวัตรประจำวัน มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อชีวิตของเราทุกคน ไม่มีเงินก็แทบทำอะไรในยุคนี้ไม่ได้เลย
แม้เงินในยุคนี้อาจเปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่จับต้องไม่ได้ด้วยมือจริง ๆ เพื่อความรวดเร็วและความสะดวกสบายในการทำธุรกรรมต่าง ๆ แถมยังถูกด้อยค่าลงจากความเป็นโลหะเงินแท้ ๆ ที่มีน้ำหนัก 1 บาท กลายเป็นเพียงตัวเลขบนกระดาษหรือบนหน้าจอมือถือ แต่ความสำคัญของเงินจะไม่มีวันเปลี่ยนไป เพราะการแลกเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ยังต้องเกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกคนตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตานอน
ทุกครั้งที่เราหยิบเงินออกจากกระเป๋า หรือจ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ เราอาจไม่ได้คิดถึงที่มาที่ไปของมัน แต่จริง ๆ แล้ว ทุกแบงก์ทุกเหรียญในมือเรานั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาที่หล่อหลอมวัฒนธรรมและชีวิตประจำวันของเราในแบบที่เรามองไม่เห็น การที่เรารู้ว่าทำไมเราถึงเรียกเงินว่า “เงิน” และทำไมเราถึงใช้หน่วยว่า “บาท” อาจจะไม่ได้ทำให้เราร่ำรวยขึ้น แต่นี่คือตัวอย่างของการรู้จักตั้งคำถามกับสิ่งใกล้ตัว ซึ่งจะช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับตัวเรา ทำให้เราเป็นผู้ชายที่ดีขึ้น เก่งขึ้น และชาญฉลาดขึ้นในโลกยุคที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารอย่างทุกวันนี้ครับ
อ้างอิง