ในโลกของนาฬิกาที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทรนด์ใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา มีนาฬิกาอยู่ไม่กี่รุ่นเท่านั้นที่สามารถฝ่าฟันกระแสของการเปลี่ยนแปลงมาได้อย่างสง่างาม นาฬิกาที่ไม่จำเป็นต้อง Redesign อะไรให้มากมาย ไม่ต้องเอนเอียงไปตามกระแสตลาด แต่เป็นนาฬิกาที่เกิดจากดีไซน์ที่ถูกต้องตั้งแต่แรกและมีอัตลักษณ์ที่ชัดเจนจนกลายเป็นภาพจำของคนรักนาฬิกาทั่วโลก
วันนี้ MenDetails จะพามาดู 6 คอลเลกชันนาฬิกาสุดไอคอนิกที่ยืนหยัดผ่านทั้งสงคราม วิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำ การปฏิวัติด้านเทคโนโลยีครั้งแล้วครั้งเล่า รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของรสนิยมโลก สู่การเป็นคอลเลกชันนาฬิกาที่ยังคงมีผลิตอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่มันเปิดตัวครั้งแรกมาจนถึงปัจจุบัน มารู้จักนาฬิกาทั้ง 6 รุ่นนี้ไปพร้อมกันครับ
Cartier Tank
Cartier Tank คือเรือนเวลาทรงสี่เหลี่ยมที่ทรงอิทธิพลที่สุดรุ่นหนึ่งของโลกนาฬิกาข้อมือ เปิดตัวในปี 1917 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากรถถัง Renault FT ที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดดเด่นด้วยรูปทรงคลาสสิกที่เรียบง่าย หากมองจากหน้าปัดด้านบนจะเห็นขอบตัวเรือนด้านข้างที่เปรียบเสมือนรางตีนตะขาบของรถถัง เสริมเอกลักษณ์ด้วยเม็ดมะยมประดับ Cabochon ผสานกับหน้าปัดที่ใช้เลขโรมันและหลักบอกนาทีแบบ Chemin de fer อย่างลงตัว
สิ่งที่ทำให้ Cartier Tank อยู่มาได้ยาวนานกว่า 100 ปีไม่ใช่เพียงดีไซน์ที่สง่างาม แต่คือความเรียบง่ายแบบที่ไม่เคยพยายามจะเรียกร้องความสนใจ มันอยู่ได้กับทุกยุคสมัยพร้อมกับองค์ประกอบสำคัญที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นาฬิการุ่นนี้เคยอยู่บนข้อมือของทั้ง Jackie Kennedy และ Andy Warhol จนกลายเป็นไอคอนของความเรียบแต่โก้ที่แท้จริง และที่สำคัญคือ Cartier ยังผลิตมันอยู่ทุกวันนี้แถมยังแตกไลน์ออกมาอีกหลายรุ่นไม่ว่าจะเป็น Tank Louis, Tank Must หรือ Tank Américaine ให้เลือกตามบุคลิกของแต่ละคน
Jaeger-LeCoultre Reverso
Reverso เป็นนาฬิกาเพียงไม่กี่รุ่นที่ถือกำเนิดจากความต้องการที่เฉพาะทางแต่กลับกลายเป็นงานดีไซน์สุดอมตะ ปี 1931 Jaeger-LeCoultre ออกแบบ Reverso ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์นักโปโลชาวอังกฤษในอินเดียที่อยากได้นาฬิกาข้อมือที่ทนต่อแรงกระแทกได้ดี จึงเกิดเป็นนวัตกรรมตัวเรือนที่มีกลไกหน้าปัดแบบพลิกกลับด้านได้ ซึ่งช่วยป้องกันกระจกหน้าปัดจากเศษดินโคลนระหว่างการเล่นโปโลได้อย่างชาญฉลาด
สิ่งที่ทำให้ Reverso อยู่ยงมาอย่างยาวนานไม่ใช่แค่ฟังก์ชันสุดสร้างสรรค์นี้เท่านั้น แต่คือดีไซน์ตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมแบบ Art Deco ที่ดูเรียบง่ายแต่เฉียบคม และยังคงมีความล้ำสมัยแม้จะถูกผลิตต่อเนื่องมาเกือบ 100 ปีแล้วก็ตาม ปัจจุบัน JLC ยังคงต่อยอดความคิดสร้างสรรค์นี้ไปไกลแบบไม่รู้จบ เช่น Reverso Duoface ที่สามารถแสดงเวลาได้ 2 โซนเวลา หรือ Reverso ที่ด้านหลังเป็นงานศิลปะอีนาเมลลวดลายพิเศษสำหรับนักสะสม
Longines Lindbergh Hour Angle
ในปีเดียวกันกับที่ Reverso เปิดตัว Longines ก็ได้เปิดตัวนาฬิกาอีกรุ่นที่ได้กลายเป็นไอคอนของวงการนาฬิกานักบินอย่าง Lindbergh Hour Angle ซึ่งเป็นการร่วมพัฒนากับ Charles Lindbergh นักบินคนแรกที่บินเดี่ยวโดยไม่หยุดพักข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจากนครนิวยอร์กไปยังปารีสได้ในปี 1927
นาฬิการุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักบินสามารถคำนวณพิกัดลองจิจูดระหว่างเดินทางบนท้องฟ้าได้ พร้อมด้วยจุดเด่นอย่างหน้าปัดขนาดใหญ่ ขอบหน้าปัดแบบหมุนได้ เครื่องหมายบอกทิศทาง และมีสเกลสำหรับคำนวณค่าเชิงดาราศาสตร์ที่จำเป็นสำหรับการบิน ทำให้ Lindbergh Hour Angle เป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้ในระดับจริงจัง ไม่ใช่แค่นาฬิกาที่ทำหน้าที่บอกเวลาเพียงอย่างเดียว ปัจจุบัน Longines ยังผลิตรุ่น Heritage ที่ยึดรูปแบบดั้งเดิมแทบทุกจุด เหมาะกับคนที่รักประวัติศาสตร์นาฬิกาและหลงใหลในยุคทองของการบิน
Patek Philippe Calatrava
Calatrava ที่เปิดตัวในปี 1932 เป็นการแสดงออกถึงนิยามของคำว่า Understated Elegance ในการออกแบบนาฬิกาของ Patek Philippe ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยตัวเรือนทรงกลม หน้าปัดดีไซน์เรียบง่าย และองค์ประกอบแบบ Bauhaus ทำให้นาฬิการุ่นนี้กลายเป็นต้นแบบของ Dress Watch ที่ไม่มีวันตาย Calatrava รุ่นต่อมาได้เพิ่มรายละเอียดต่าง ๆ เช่น ขอบหน้าปัด Clous de Paris และฝาหลังแบบ Officer’s caseback แต่การออกแบบหลักที่เป็นนาฬิกาทรงกลมเพรียวบางและสง่างามนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมาเป็นเวลากว่า 90 ปีแล้ว
Calatrava อาจไม่ใช่นาฬิกาที่ดึงดูดสายตาในทันที แต่เมื่อคุณใช้เวลาอยู่กับมัน คุณจะเริ่มเห็นว่ารายละเอียดเล็ก ๆ ทุกอย่างถูกคิดมาอย่างแม่นยำและกลมกลืน ปัจจุบัน Calatrava ยังถูกผลิตอย่างต่อเนื่อง และได้รับการพัฒนาอย่างแยบยลโดยไม่เคยหลุดจากเส้นทางดั้งเดิมที่วางไว้ตั้งแต่แรก
Omega Seamaster
ไอคอนแห่งนาฬิกาดำน้ำอย่าง Omega Seamaster ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1948 ในฐานะนาฬิกาสำหรับนักดำน้ำที่ต้องการความทนทาน ประสิทธิภาพในการกันน้ำลึก 300 เมตร การอ่านค่าที่แม่นยำ และกลไกการทำงานที่เที่ยงตรงสูงสุดในสภาพแวดล้อมใต้น้ำ Seamaster พัฒนาจากจุดเริ่มต้นแบบนาฬิกาทหารสู่การเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของแบรนด์ Omega ที่คนรักนาฬิกาจักรกลทั่วโลกให้การยอมรับ
แต่ละยุคของ Seamaster มีภาคต่อของตัวเอง เริ่มตั้งแต่ Seamaster 300 สู่ Seamaster Diver 300M ที่คุณเห็นอยู่บนข้อมือของ James Bond มาจนถึง Seamaster Aqua Terra ที่ดูสุภาพขึ้นแต่ยังแฝงด้วย DNA ของการเป็นเครื่องมือสำหรับนักดำน้ำ นอกจากนี้ Seamaster ยังเป็นหนึ่งในคอลเลกขันนาฬิกาที่ Omega ให้ความสำคัญด้านนวัตกรรมมากที่สุดทั้งกลไกขับเคลื่อน Co-Axial, มาตรฐานความแม่นยำระดับ Master Chronometer รวมถึงวัสดุตัวเรือนอย่างเซรามิกและไทเทเนียม ซึ่งปัจจุบันยังคงได้รับการพัฒนาและมีรุ่นใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
Breitling Navitimer
Breitling Navitimer คือนาฬิกาสำหรับนักบินที่แท้จริง เปิดตัวครั้งแรกในปี 1952 และเป็นที่จดจำทันทีจากสเกล Slide Rule ที่ซับซ้อนบนขอบหน้าปัดสำหรับใช้คำนวณค่าพารามีเตอร์ต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการบิน เช่น ความเร็วเฉลี่ย ระยะทางที่เดินทาง อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง อัตราการไต่ระดับหรือลดระดับ และการแปลงไมล์เป็นกิโลเมตรหรือไมล์ทะเล จุดเด่นนี้ทำให้การสวมใส่นาฬิกา Navitimer เปรียบเสมือนมีเครื่องคำนวณสำหรับการบินบนข้อมือที่ครบถ้วนและใช้งานได้จริง
แม้วันนี้เครื่องมือและระบบนำทางอิเล็กทรอนิกส์ด้านการบินจะพัฒนาไปไกลแล้ว แต่นาฬิกา Navitimer ก็ยังคงอยู่ และยังคงมีการผลิตบนพื้นฐานดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิม พร้อมด้วยตัวเลือกหลากหลายขนาดหน้าปัดที่ตอบโจทย์ผู้สวมใส่ทุกกลุ่ม ทั้งรุ่นที่มีสเปกจริงจังสำหรับคนรักในดีไซน์ดั้งเดิมและต้องการฟังก์ชันที่ตอบสนองการใช้งานด้านการบินได้จริง ตลอดจนรุ่นที่มาพร้อมกับความเรียบง่ายและมีรูปลักษณ์คลาสสิกในสไตล์ Dress Watch
นาฬิกาที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลามาอย่าวยาวนานไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่การบอกเวลาอย่างเดียว แต่ยังบ่งบอกถึงคุณค่าของงานออกแบบที่ลึกซึ้งและจิตวิญญาณของยุคสมัยที่มันได้ถือกำเนิดขึ้นมา นาฬิกาทั้ง 6 รุ่นในบทความนี้ไม่เพียงแต่เป็นผลงานชิ้นโบแดงของแต่ละแบรนด์ แต่ยังบอกเล่าถึงเรื่องราวและประวัติศาสตร์ที่น่าสดจำ หากคุณสนใจนาฬิกาที่มีคุณค่ามากกว่าการสวมใส่ตามเทรนด์ การเริ่มต้นกับนาฬิกาทั้ง 6 รุ่นนี้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยครับ