ทุกครั้งที่ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น นักลงทุนที่ถือทองคำอยู่ต่างก็มีความสุขที่เห็นตัวเลขในหน่วยเงินบาทหรือเงินดอลลาร์สูงขึ้น แต่ถ้ามองให้ลึกลงไป ความมั่งคั่งที่เราหลงใหลอาจกำลังขัดขวางโลกที่เทคโนโลยีก้าวหน้า และชีวิตของผู้คนนับพันล้านที่จะดีขึ้นกว่านี้มาก ถ้า “ทองคำ” ไม่ใช่ของที่แพงที่สุดในโลกอย่างทุกวันนี้ MenDetails เชิญคุณผู้อ่านมาตั้งคำถามและสำรวจเหตุผลกันว่า “Cheaper Gold, Better World?” ถ้าทองคำราคาถูก โลกอาจก้าวหน้าไปไกลกว่านี้มากจริงหรือไม่?
ทองคำ โลหะที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ
ทองคำคือวัสดุที่มีคุณสมบัติพิเศษเหนือโลหะทั่วไป เป็นโลหะที่ไม่ขึ้นสนิม ไม่ทำปฏิกิริยากับอากาศหรือความชื้น มีความเหนียวและยืดหยุ่นสูงจนสามารถรีดให้บางกว่าผมมนุษย์ได้หลายเท่า และยังเป็นตัวนำไฟฟ้าและความร้อนได้ดีเยี่ยม ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ทองคำจึงถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมมากมาย ตั้งแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับสูง ชิปคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายภาพ ไปจนถึงเครื่องมือแพทย์ขั้นละเอียด เช่น อุปกรณ์ผ่าตัด หรือตัวนำสัญญาณในระบบหัวใจเทียม (Pacemaker) เรียกได้ว่า หากมองแค่ “ประโยชน์ทางเทคนิค” ทองคำคือโลหะที่เกือบสมบูรณ์แบบที่สุดในโลกใบนี้เลยก็ว่าได้
มนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่มองหา Store of Value
ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดที่สุดบนโลก มนุษย์มีสัญชาตญาณอีกอย่างที่ทรงพลังมาก คือ “การเก็บรักษาสิ่งที่มีค่า” เพราะเมื่อเรามองเห็นว่าวัตถุใดที่หายาก ไม่เสื่อมสลายง่าย และมีจำนวนจำกัด เราจะค่อย ๆ เก็บสะสมสื่งนั้นไว้ ตั้งแต่เปลือกหอยในอดีตกาล สู่เหรียญโลหะต่าง ๆ จนมาถึง “ทองคำ” และ “ที่ดิน” ในปัจจุบัน และทุกครั้งที่มนุษย์สะสมสิ่งใดมากขึ้นเรื่อย ๆ ราคาของสิ่งนั้นก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเช่นกัน ตามกลไกของความต้องการและความขาดแคลน
และด้วยคุณสมบัติอันสุดยอดของทองคำ ทำให้มันกลายเป็น “store of value” ที่ดีที่สุดที่มนุษย์เคยค้นพบ ทองคำกลายเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง อำนาจ และความมั่นคง ผู้คนทั่วโลกสะสมทองคำในรูปแบบแท่ง เหรียญ หรือเครื่องประดับ และยิ่งมีคนถือและสะสมเอาไว้มากเท่าไหร่ ราคาทองคำก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
ความสำเร็จของมนุษย์ และข้อจำกัดของโลก
กาลเวลาที่ผ่านไป คนถือทองคำจำนวนมากยิ้มได้เมื่อมูลค่าของมันเพิ่มขึ้น ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งสุดขีด ยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจไม่มั่นคง ผู้ถือทองคำกลับยิ่งมั่งคั่งขึ้นในตัวเลขและอำนาจการจับจ่ายใช้สอย
แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง ราคาทองคำที่สูงขึ้นก็กลายเป็น “กำแพง” ที่ทำให้คุณสมบัติอันยอดเยี่ยมของทองคำไม่ได้มีการนำมาใช้ “สร้างสิ่งใหม่” เท่าที่ควรจะเป็น ในวันนี้ทองคำไม่ได้อยู่ในห้องทดลองหรือโรงงานผลิตเทคโนโลยีล้ำสมัยเท่าที่มันควรจะอยู่ แต่ทองคำจำนวนมากมายมหาศาลถูกเอาไปหลอมเป็นแท่ง ๆ แล้วนอนนิ่ง ๆ อยู่ในตู้เซฟกลางกรุงลอนดอน ซูริก และนิวยอร์ก มากกว่าที่จะอยู่ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฮเทคอีกมากมายที่จะช่วยให้โลกดีขึ้นได้อย่างมหาศาล
ถ้าทองคำราคาถูกลง โลกอาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ลองจินตนาการดูว่า “จะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามนุษย์เลิกสะสมมูลค่าไว้ในทองคำ แล้วหันไปเก็บในรูปแบบอื่นแทน?” เมื่อนั้นราคาทองคำจะค่อย ๆ ลดลง จนกลับลงมาสู่จุดที่สะท้อน “ต้นทุนของการใช้ประโยชน์จริง” มากกว่าความเชื่อทางเศรษฐกิจในฐานะแหล่งกักเก็บมูลค่า ทองคำที่เคยนอนนิ่งในตู้เซฟก็มีโอกาสกลับมาอยู่ในห้องวิจัย, โรงงาน และห้องแล็บ ให้มนุษย์ได้ค้นคว้าว่าเราจะเอาโลหะแสนวิเศษนี้ไปทำอะไรได้บ้าง
เราอาจได้เห็น สมาร์ตโฟนที่ทนทานกว่าเดิมหลายเท่า เพราะใช้ทองคำเป็นตัวนำไฟฟ้าแทนทองแดง
หรือรถยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพราะการนำพลังงานดีขึ้น ไปจนถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่แม่นยำและปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม เพื่อสุขภาพของผู้คนที่ดีขึ้น หรือแผงโซลาร์เซลล์ที่เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากขึ้นในพื้นที่น้อยลง ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เป็นไปได้ ถ้าทองคำไม่มีราคาสูงเกินเอื้อมจนไม่มีใครกล้าเอามันมาใช้อย่างทุกวันนี้ หรือแม้แต่ดาวเทียมและยานอวกาศที่จะก้าวหน้าและมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ได้อีกมหาศาลหากใช้ทองคำมาเป็นส่วนประกอบมากขึ้น
“ทองคำ” โลหะที่เราทำให้มันแพงเกินจริง?
ทองคำไม่ใช่ผู้ร้าย และมนุษย์ก็ไม่ได้ผิดที่สะสมมัน แต่สิ่งที่น่าคิดคือ ความฉลาดของเรากำลังทำให้สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุด กลายเป็นสิ่งที่ถูกใช้ “น้อยที่สุด” อย่างน่าเสียดาย เพราะเมื่อใดที่เรามอบคุณค่าทางเศรษฐกิจให้กับบางสิ่งมากเกินไป มีความเป็นไปได้สูงที่เรากำลังดึงสิ่งนั้นออกจากโลกแห่งการใช้งานจริง และผลลัพธ์ก็คือโลกที่ก้าวหน้าช้ากว่าที่ควรจะเป็น
ในปัจจุบัน “ทองคำ” คือสิ่งมีค่าที่คนทั่วโลกยอมรับร่วมกัน
แต่บางที “ความมีค่า” นั้นเอง อาจเป็นสิ่งที่ทำให้ทองคำหมดโอกาส “สร้างคุณค่า” ให้โลกใบนี้ ในแบบที่มันควรจะเป็น “อย่างน่าเสียดาย”