“รัฐจะไม่พังเพราะถูกโค่น แต่จะค่อย ๆ หายไปจากความจำเป็นของผู้คน” ในโลกยุคก่อนการสร้างรัฐคือการผูกขาดความรุนแรงไว้ในมือกลุ่มเดียว แต่ในโลกใหม่ ที่อำนาจถูกกระจายไปกับการครอบครองข้อมูลข่าวสาร, เงินทุน และทรัพยากรพลังงานต่าง ๆ รัฐไม่ได้ล่มสลายอย่างอลังการเหมือนในหนังสงคราม แต่เป็นการเสื่อมถอยแบบค่อย ๆ “ปลอกเปลือก” ออกทีละชั้น จนสุดท้าย “เปลือยเปล่า”
รัฐสูญเสียอำนาจการผูกขาด “ความจริง”
ก่อนหน้านี้ รัฐชาติ หรือ Nation-State มีอำนาจการผูกขาดข้อมูลข่าวสารที่เป็น “ความจริง” อยู่เสมอ ยกตัวอย่างสื่อประชาสัมพันธ์ ช่องทีวี ช่องวิทยุต่าง ๆ จะเป็นกิจการที่ผูกขาดโดยสัมปทานของรัฐทั้งสิ้น ทีวีที่มีเพียงไม่กี่ช่องทำให้รัฐควบคุมทิศทางของข่าวสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างการเผยแพร่ “โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ” เป็นสิ่งที่ทำได้อย่างเบ็ดเสร็จเสมอมา ถ้ารัฐบอกว่าอะไรคือ “ความจริง” โอกาสที่จะมีสื่ออื่น ๆ เผยแพร่สิ่งที่แตกต่างไปก็จะน้อยมาก เพราะแหล่งข้อมูลกระจุกอยู่ที่สื่อรัฐ, หนังสือพิมพ์, หรือระบบราชการ
แต่การเข้ามาของ Internet และสื่อ Social Media ทำให้อำนาจการผูกขาดความจริงของรัฐเสื่อมถอยลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนสามารถเป็นสื่อเองได้ และผู้คนก็เริ่มมีทางเลือกที่จะเสพสื่อได้อย่างหลากหลายในแบบที่รัฐชาติเองไม่สามารถควบคุมได้เบ็ดเสร็จอีกต่อไป กลายเป็นเปลือกที่ถูกลอกออกอย่างช้า ๆ แต่ต่อเนื่องและเห็นได้ไม่ยากนัก
รัฐสูญเสีย “ความชอบธรรม”
หากอ้างอิงนักปรัชญาการเมืองคนสำคัญอย่าง John Locke รัฐชาติสมัยใหม่ถือกำเนิดเกิดขึ้นเพื่อทำหน้าที่ที่สำคัญที่สุด คือปกป้องความปลอดภัยใน “ชีวิต” และ “ทรัพย์สิน” ของประชาชน ผู้คนในสังคมจะยินยอมถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพเพื่อแลกกับการปกป้องดังกล่าว แต่เมื่อรัฐชาติที่พัฒนาขึ้นเริ่มเกิดการพยายามผูกขาดอำนาจ มีการคอร์รัปชั่นใช้ภาษีไม่โปร่งใส ประสิทธิภาพในการปกป้องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินก็จะลดลง บางประเทศอาจเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ แต่บางประเทศก็เกิดอย่างรวดเร็ว จนผู้คนเริ่มตั้งคำถามว่า “ทำไมเราต้องจ่ายภาษีให้รัฐที่ไม่โปร่งใส?” “จ่ายแล้วได้อะไรที่คุ้มค่าไหม?” เมื่อนั้นคนจะเริ่มมองหาทางเลือกที่ดีกว่า แม้จะยังนึกไม่ออกว่าทางเลือกดังกล่าวจะเป็นอย่างไร แต่เขาจะ “ไม่หยุดมองหา” แน่นอน
รัฐเริ่มสูญเสียอำนาจการผูกขาด “การผลิตเงิน”
เงินตราที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่างเงินบาท หรือดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสิ่งที่รัฐบาลและธนาคารกลางมีสิทธิ์ในการผลิตและแจกจ่ายแต่เพียงผู้เดียว รัฐสามารถใช้เงินนี้ควบคุมเศรษฐกิจได้หลายอย่าง เช่น ผลิตเงินเพิ่มเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นให้คนเอามันมาจับจ่ายใช้สอย หรือเก็บภาษีเป็นเงินตราเหล่านี้เพื่อดูดเงินออกจากระบบและควบคุมการจับจ่ายของประชาชนให้เป็นไปในทางที่รัฐเห็นว่าดีงามต่อไป
แต่ในโลกที่กำลังเปลี่ยนไป เทคโนโลยีในยุคปัจจุบันก่อให้เกิดเงินในรูปแบบใหม่อย่าง Bitcoin ซึ่งเป็นเงินที่มีกฎเกณฑ์การควบคุมปริมาณเงินที่ชัดเจนและเปิดเผยโปร่งใสให้ทุกคนสามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาตรัฐบาลใด อีกทั้งกฎเกณฑ์ดังกล่าวของ Bitcoin เป็นสิ่งที่ไม่มีรัฐใดสามารถควบคุมได้ตามใจนึก นั่นแปลว่าหากผู้คนเริ่มหันไปใช้เงินแบบใหม่นี้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ รัฐก็จะค่อย ๆ สูญเสียเครื่องมือสำคัญในการควบคุมพฤติกรรมของประชาชน เพราะรัฐไม่สามารถผลิตเงินใหม่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเก็บภาษีอย่างที่เคยทำได้ง่าย ๆ อีกต่อไป นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเปลือกที่กำลังถูกลอกออกอย่างช้า ๆ
รัฐเริ่มควบคุม “อาณาเขต” ไม่ได้อย่างเมื่อก่อน
ในอดีตที่ผ่านมา ถ้าเราเกิดและอาศัยอยู่ในประเทศใด เราก็ต้องทำตามกฎหมายของประเทศนั้นไปโดยปริยาย การย้ายถิ่นฐานก็เป็นเรื่องยุ่งยากและมีต้นทุนสูงมาก แต่ในยุคปัจจุบันนี้ทุกอย่างค่อย ๆ เปลี่ยนไป ด้วยเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อที่ไร้พรมแดน ทำให้ผู้คนเริ่มมีทางเลือกที่จะ “ย้าย” ไปอยู่ในที่ที่คุ้มค่ากว่าได้ง่ายขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มคนทำงานแบบ Digital Nomad ที่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ในโลก โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในประเทศเดียวตลอดเวลา หรือหลายประเทศในแถบทะเลแคริบเบียน มีการจำหน่ายสัญชาติและพาสปอร์ตเพื่อให้ผู้คนสามารถเดินทางไปต่างประเทศได้สะดวกสบายมากขึ้น หรือการกำเนิดของ Charter City เมืองที่ได้รับการปกครองด้วยกฎหมายพิเศษ ที่จูงใจและดึงดูดคนที่มีศักยภาพเข้ามาอยู่อาศัยและทำธุรกิจ เช่น Próspera ที่ตั้งอยู่บนเกาะ Roatán ในประเทศฮอนดูรัส
แม้จะเป็นเปลือกที่ยังไม่ได้ถูกลอกออกให้เห็นชัดเจนได้ในตอนนี้ แต่มันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้คนเริ่มมองเห็นว่า พวกเราสามารถ “โหวตด้วยเท้า” แทนที่จะโหวตด้วยการเลือกตั้ง นั่นคือแทนที่จะทนอยู่เพื่อพยายามปรับปรุงรัฐที่ตัวเองอาศัยอยู่ไปเรื่อย ๆ พวกเราจะตัดสินใจย้ายไปอยู่ในที่ที่เรามองว่าเหมาะสมกับตัวเองมากกว่าได้ง่ายขึ้นเป็นลำดับ และเมื่อคนที่มีความสามารถและเงินทุนเริ่มย้ายออกไปเรื่อย ๆ รัฐก็จะสูญเสียประชากรและภาษี ซึ่งเป็นหนึ่งในทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของการดำรงอยู่ของรัฐชาติ
รัฐเริ่มสูญเสีย “สิทธิในการใช้กำลัง”
อำนาจสูงสุดที่รัฐมีคือการผูกขาดการใช้กำลังและการลงโทษ เราทุกคนคงเคยเห็นภาพทหาร ตำรวจ ที่มาพร้อมอาวุธและอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตามแต่นี่คือสิ่งที่ทำให้รัฐสามารถควบคุมสังคมได้ ทว่าในยุคปัจจุบัน เราเริ่มเห็นสิทธิในการใช้กำลังของรัฐกำลังเสื่อมถอยลงอย่างช้า ๆ แต่ต่อเนื่อง
เมื่อก่อน หากรัฐใช้กำลังกับประชาชนในที่ลับตา ข่าวก็อาจจะไม่แพร่หลาย แต่ในยุคที่ทุกคนมีโทรศัพท์มือถือที่สามารถบันทึกเหตุการณ์และเผยแพร่ได้ทันที การใช้กำลังที่เกินกว่าเหตุจะถูกบันทึกและแพร่กระจายไปทั่วโลกในไม่กี่วินาที ทำให้รัฐต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสังคมทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อีกทั้งเมื่อการใช้ชีวิตและผลประโยชน์ของผู้คนย้ายไปอยู่บนโลกออนไลน์มากขึ้น แม้รัฐจะมีอำนาจในการใช้งานตำรวจและทหาร แต่การควบคุมทางกายภาพเหล่านั้นอาจด้อยความหมายลง ตัวอย่างเช่น หากรัฐพยายามปิดกั้นการสื่อสารหรือโจมตีระบบของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ผู้คนใช้ในการรวมตัวกัน หรือเริ่มมีการอายัดบัญชีเงินฝากออนไลน์ได้ง่ายขึ้น จนประชาชนไม่พอใจและเริ่มต่อต้าน และอาจมีเหล่าแฮกเกอร์ทั่วโลกที่สามารถรวมตัวกันเพื่อตอบโต้ได้ในทันที ทำให้รัฐต้องเผชิญกับสงครามในโลกไซเบอร์ที่ซับซ้อนและควบคุมได้ยาก
รัฐจะไม่หายไป แต่จะเปลี่ยนสถานะ
แม้สิ่งต่าง ๆ ที่รัฐเคยมีอำนาจควบคุมได้เบ็ดเสร็จจะเสื่อมลงอย่างช้า ๆ โดยที่หลายคนอาจไม่ทันสังเกต แต่ต้องยอมรับว่าตราบใดที่ผู้คนยังคงต้องการกฎระเบียบในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบเรียบร้อย ลงท้ายอำนาจรัฐก็จะยังไม่หายไปไหน เพื่อบังคับใช้กฎหมายที่ผู้คนมีร่วมกัน แต่ในขณะเดียวกัน รัฐชาติเองก็จะต้องมีการปรับตัวเพื่อให้ตัวเองมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเมื่อผู้คนสามารถเคลื่อนย้ายตัวเองและทรัพย์สินได้อย่างอิสระยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ รัฐและเขตแดนต่าง ๆ ก็ต้องแข่งขันกัน เพื่อจูงใจให้ผู้คนไปใช้ชีวิตในเขตแดนดังกล่าว อันจะเป็นที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้พัฒนาเขตแดนนั้น ๆ ต่อไป
MenDetails เชื่อว่า ผู้ชายที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ แต่ต่อเนื่องเช่นนี้ ไม่ใช่เพื่อส่งเสียงเชียร์ให้ประเทศและรัฐชาติต่าง ๆ ต้องประสบกับชะตากรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เพื่อที่จะมองหาแนวโน้มความเป็นไปได้ แล้วตอบคำถามให้ได้ว่าเราจะอยู่ตรงไหนและจะปรับตัวอย่างไรในยุคหลังรัฐชาติหรือ Post Nation-State Era ที่ “อาจจะ” เกิดขึ้นในอนาคต