จังหวัดนางาซากิของญี่ปุ่นนั้น นอกจากตัวแผ่นดินใหญ่แล้ว ยังมีเกาะน้อยใหญ่ต่าง ๆ ที่ไร้ผู้คนอยู่อาศัยอีกราว 505 เกาะ ซึ่งเกาะเหล่านั้นก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ ยกเว้นเกาะร้างเกาะหนึ่งที่รูปร่างคล้ายเรือรบ และมีเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับยุคพัฒนาทางอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวสามารถไปเยี่ยมชมได้ นั่นคือ เกาะ Gunkanjima ครับ
ในบทความนี้ MenDetails ขอเชิญมาทำความรู้จักแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจแห่งนี้ รวมถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์ของมัน และวิธีการเดินทาง เผื่อใครแวะเวียนผ่านมานางาซากิในทริปเที่ยวเกาะคิวชูของญี่ปุ่นครั้งหน้าแล้วยังไม่เคยไปเกาะนี้ หากมีเวลาจะได้ลองไปเปิดประสบการณ์ใหม่ดูครับ
เกาะ Gunkanjima เกาะร้างที่ไม่ธรรมดา
Gunkanjima หรือหลายคนอาจเรียกว่า Hashima ไปจนถึงคนไทยที่เรียกว่า เกาะเรือรบ ล้วนเป็นชื่อเรียกของเกาะเดียวกันทั้งสิ้น เป็นเกาะรูปร่างคล้ายเรือรบที่อยู่ห่างชายฝั่งเมืองนางาซากิไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 15 กม. เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่แปลกและน่าสนใจแห่งหนึ่งญี่ปุ่น รวมถึงยังใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ที่หลายคนรู้จักอย่าง Battle Royale, James Bond ภาค Skyfall ไปจนถึงภาพยนตร์ไทยอย่าง ฮาชิมะ โปรเจกต์ ไม่เชื่อ ต้องลบหลู่ และมีตำนานเรื่องลี้ลับบางอย่างที่ถูกเล่าขานกันไว้ด้วย
ในอดีตเกะนี้เคยรุ่งเรืองและมีคนอาศัยอยู่นับพัน มีสิ่งก่อสร้างมากมาย ปัจจุบันเกาะไม่มีคนอยู่อาศัย เหลือไว้เพียงแต่ซากตึกร้างที่ผ่านลมฝนลมทะเลจนถูกพืชปกคลุม บ้างก็พังทลายไปตามกาลเวลา ด้วยบรรยากาศของเกาะที่ดูเศร้า ๆ ในขณะเดียวกันก็เหมือนจะมีความน่าขนลุกบางอย่าง ทำให้หลาย ๆ คนยกให้เป็นหนึ่งในเกาะที่น่าขนลุกที่สุดในโลก และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจของจังหวัดนางาซากิอีกแห่ง ในฐานะสัญลักษณ์ของการพัฒนาทางอุตสาหกรรมที่ก้าวกระโดดของญี่ปุ่น และสำหรับหลาย ๆ คน (โดยเฉพาะคนเกาหลีใต้) นี่อาจเป็นหนึ่งในหลักฐานความโหดร้ายของการบังคับใช้แรงงานที่แสนเจ็บปวดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ทั้งหมดทั้งมวล เกาะแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ในปีค.ศ. 2015 ในฐานะส่วนหนึ่งของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในสมัยเมจิ
ภาพอดีตของยุคพัฒนาทางอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น
เกาะแห่งนี้เดิมถูกใช้เพื่อทำเหมือนถ่านหิน โดยมีรายงานการพบถ่านหินบนเกาะย้อนกลับไปถึงปีค.ศ. 1810 ตั้งแต่สมัยที่ญี่ปุ่นยังมีระบบโชกุน และมีตระกูล Tokugawa ปกครอง มีอำนาจเหนือจักรพรรดิ จนกระทั่งในปีค.ศ. 1890 บริษัท Mitsubishi ที่ตอนนั้นเป็นกลุ่มบริษัทใหญ่ มาซื้อเกาะนี้เพื่อพัฒนาให้มันกลายเป็นศูนย์กลางของการทำเหมืองถ่านหินใต้ทะเล ทำให้มีการขยายที่ดินบนเกาะ รวมถึงการสร้างกำแพงกั้นน้ำ และมีการเอาเทคโนโลยีเครื่องขุดเจาะมาใช้เพื่อขุดลงไปให้ถึงแหล่งถ่านหินใต้ทะเล และเกาะแห่งนี้ก็ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ มีรายงานปริมาณถ่านหินที่ขุดเจาะได้ทั้งหมดตลอดอายุขัยอยู่ที่ราว 15 ล้านตัน
เมื่อความต้องการของถ่านหินในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมมากขึ้น ทำให้เกาะแห่งนี้มีคนงานมากขึ้น จึงเริ่มมีสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ตามมา อย่าง ตึกห้องพักคนงาน โรงเรียน โรงพยาบาล ศาลากลาง ไปจนถึงสิ่งก่อสร้างเพื่อความบันเทิง อย่าง โรงภาพยนตร์ ร้านขายของ สระว่ายน้ำ เพื่อรองรับครอบครัวของคนงานเหมืองที่ย้ายมาอยู่ด้วยกันบนเกาะ ในช่วงรุ่งเรืองถึงขีดสุด ที่นี่มีประชากรราว 5300 คน เรียกได้ว่ากลายเป็นเมืองเมืองหนึ่งเลยทีเดียว แต่ด้วยพื้นที่ที่จำกัดที่ให้การใช้ชีวิตของผู้ในเมืองนี้อยู่ในขั้นที่เรียกว่าแออัดได้เช่นกัน
แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนผ่าน เชื้อเพลิงอื่นอย่างน้ำมันถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรม ความต้องการของถ่านหินก็ค่อย ๆ ลดลง มีการปิดตัวของเหมืองถ่านหินทั่วประเทศ และที่เกาะแห่งนี้เองก็ไม่มีข้อยกเว้น เมื่อบริษัท Mitsubishi ที่เป็นเจ้าของสั่งปิดเหมืองในเดือนมกราคม ค.ศ. 1974 ทำให้เหล่าคนงานอพยพออกจากเกาะอย่างรวดเร็ว จนเหลือทิ้งไว้แค่เกาะร้างและสิ่งก่อสร้างในเดือนเมษายนปีเดียวกัน กลายเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วของญี่ปุ่น
สัญลักษณ์ความโหดร้ายของสงคราม
แม้จะเป็นสถานที่ที่สวยงาม มีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับยุคพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่ ผสมกับความลึกลับนิด ๆ แต่เกาะนี้ยังมีอีกหนึ่งประเด็นทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอีกประเด็น นั่นคือ การที่มันเป็นสถานที่ที่มีการบังคับใช้แรงงานนักโทษสงคราม ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 จากนักโทษเกาหลีและจีน
หากใครที่รู้ประวัติศาสตร์อยู่บ้าง จะพอรู้ว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางญี่ปุ่นมีการกระทำโหดร้ายหลายอย่างต่อชาวเกาหลีและจีน เกาะแห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่นักโทษสงครามชาวเกาหลีกับจีนถูกจับมาบังคับใช้แรงงานเพื่อขุดเหมือง และได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้ายทารุณ ด้วยสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ดี ทำให้ในช่วงเวลานี้เชื่อกันว่ามีคนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เป็นสาเหตุให้ในปีค.ศ. 2009 ที่ญี่ปุ่นยื่นเรื่องต่อ UNESCO เพื่อขึ้นทะเบียนเกาะเป็นมรดกโลกครั้งแรก ทางเกาหลีใต้จึงคัดค้านเรื่องนี้อย่างมาก จีนเองก็มีทีท่าไม่เห็นด้วยเช่นกัน เพราะนี้เป็นการทำลายศักดิ์ศรีของผู้รอดชีวิต และแหล่งมรดกโลกควรส่งเสริมให้เกิดสันติภาพ การขึ้นทะเบียนเกาะเรือรบเป็นมรดกโลกจะขัดกับหลักการของ UNESCO
จนกระทั่งในปีค.ศ 2015 ทางเกาหลีใต้ทำการยกเลิกคำร้อง เมื่อญี่ปุ่นตกลงรับทราบว่ามีการบังคับใช้แรงงานนักโทษที่ถูกจับมาบนเกาะ เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ และพร้อมที่จะให้ความเคารพและรำลึกถึงพวกเขา ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การตั้งศูนย์ข้อมูล ทำให้เกาะนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในที่สุด โดยอยู่ในหมวดที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุคเมจิ ร่วมกับสถานที่อื่น ๆ อีกมากมายทั่วญี่ปุ่น
แต่ถึงอย่างนั้น ภาพลักษณ์ของเกาะในสายตาของคนเกาหลีใต้ ยังคงเป็นสถานที่ที่ทำให้นึกถึงความโหดร้ายของญี่ปุ่นในสงครามโลกอยู่เสมอ แม้ว่าญี่ปุ่นจะพยายามสร้างภาพลักษณ์ออกมาให้เกาะแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ที่สวยงาม คนงานได้รับการดูแลอย่างดี ผ่านภาพถ่าย หลักฐาน และเอกสารอื่น ๆ ที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ แต่ทางฝั่งเกาหลีใต้เองก็มีหลักฐานแสดงถึงความโหดร้ายของการบังคับใช้แรงงานเช่นกัน เพื่อนของผู้เขียนคนหนึ่งที่เป็นชาวเกาหลีใต้ก็ปฏิเสธที่จะไปเที่ยวเกาะนี้เช่นกัน แสดงให้เห็นว่าคนเกาหลีมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเกาะแห่งนี้มาก ๆ
เรื่องเล่าจากความทรงจำ ครั้งหนึ่งที่เคยไปเกาะ Gunkanjima
หลังจากถูกทิ้งเป็นเกาะร้างหลายสิบปี ชื่อของเกาะก็ค่อย ๆ กลับมาอยู่ในความสนใจของคนทั่วไปอีกครั้งในฐานะสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ถูกมนุษย์รบกวนและค่อย ๆ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทางการญี่ปุ่นจึงมีการซ่อมแซมพื้นที่ส่วนนอกของเกาะให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ จนในที่สุดก็เปิดให้นักท่องเที่ยวให้ชมได้ในปีค.ศ. 2009 ทำให้มีการยื่นเรื่องให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเพื่อรับการคุ้มครองในเวลาต่อมา
การไปเที่ยวเกาะ Gunkanjima ไม่ใช่นึกจะไปก็สามารถเดินทางไปได้ แต่ต้องซื้อทัวร์จากบริษัทล่องเรือที่ได้รับการรับรองโดยเฉพาะ เพราะการไปที่เกาะแห่งนี้ต้องล่องเรือไป และต้องอาศัยโชคพอสมควร เพราะถ้าหากว่าวันไหนคลื่นลมไม่ดี เรือก็จะไม่ออกจากฝั่ง หรือในบางกรณีออกจากฝั่งได้แล้ว แต่ในทะเลคลื่นลมไม่เป็นใจ ไม่สามารถจอดเทียบท่าของเกาะได้ ก็จะทำได้แค่วนเรือดูรอบ ๆ เกาะเท่านั้นครับ นอกจากนี้ตอนที่เรือออกจากท่าเรือจะผ่านอู่ต่อเรือ Mitsubishi ที่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกันกับเกาะอยู่ด้วย
สำหรับบริษัททัวร์ที่เราแนะนำ คือ GUNKANJIMA CONCIERGE เป็นบริษัทที่ผู้เขียนเคยใช้บริการสองครั้ง ทั้งครั้งที่ได้เหยียบพื้นเกาะ กับครั้งที่ท่าเรือบนเกาะโดนพายุพัดเสียหาย จึงทำได้แค่เข้า Gunkanjima Digital Museum ในหน้าเว็บไซต์มีภาษาอังกฤษทำให้สามารถกดจองรอบได้ง่าย ค่าตั๋วของบริษัทนี้จะรวมค่าเข้าพิพิธภัณฑ์ทำให้เราเรียนรู้ประวัติศาสตร์และภาพบนเกาะในบริเวณที่เราเข้าถึงไม่ได้มากขึ้น รวมถึงยังมีไกด์เสียงภาษาอังกฤษเวลาเดินบนเกาะให้เราฟังประกอบด้วย
โดยปกติทัวร์จะใช้เวลาครึ่งวันในการเดินทางไป-กลับ ทำให้ในหนึ่งวันจะมีรอบเช้ากับบ่าย ถ้าให้เราแนะนำก็จะเป็นรอบเช้า เพราะในช่วงครึ่งวันบ่ายเราจะได้เหลือเวลาไปเดินเที่ยวที่อื่นในเมือง และเราแนะนำว่าให้ไปถึงเร็วสักนิดจะได้มีเวลาเดินดูพิพิธภัณฑ์มากขึ้น เพราะแม้จะมี 2 ชั้น และเป็นตึกเล็ก ๆ แต่ของที่จัดแสดงข้างในมีพอสมควร ทั้งข้อมูลให้อ่าน ไปจนถึงการจำลองเทคโนโลยีที่พาเรากลับไปดูยุคสมัยที่เกาะยังรุ่งเรืองได้ มีการใช้เทคโนโลยี VR พาเราไปเดินดูส่วนลึกของอาคารที่คนทั่วไปเข้าไม่ได้ด้วยเช่นกัน พอได้เวลาลงเรือเจ้าหน้าที่จะมาแจ้งให้เราเดินไปที่ท่าเรือครับ ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์เท่าไหร่
การเดินชมเกาะนี้ จะไม่ได้ปล่อยให้นักท่องเที่ยวเดินสำรวจรอบเกาะเนื่องจากโครงสร้างที่ไม่มั่นคง เมื่อเรือเทียบท่าเรือ เราจะต้องเดินไปตามทางที่สร้างเอาไว้ ซึ่งจะมีจุดชมวิว 3 จุด ทำให้เราเห็นซากอาคารที่อยู่อาศัยเก่า โดยเฉพาะอาคารหมายเลข 30 ที่เป็นตึก 7 ชั้น ที่ถูกสร้างในปีค.ศ. 1916 เป็นตึกสูงแห่งแรกของญี่ปุ่น โครงสร้างที่เหลืออยู่ของสายพานลำเลียงถ่านหิน และหนึ่งในทางเข้าเหมือง โดยจะมีเวลาเดินชมวิวของเกาะราว 40 – 50 นาทีเท่านั้นครับ
วันที่เราไป สภาพอากาศไม่ค่อยดีนัก แต่ยังดีที่เรือสามารถจอดเทียบท่าได้ แค่เดินลงจากเรือก็เจอแรงลมทะเลตีหน้าจนหนาวสั่น ต้องหยิบเสื้อกันหนาวมาสวม (ผู้เขียนไปช่วงต้นเดือนมกราคมก่อนยุคโควิด ตอนนั้นยังเป็นหน้าหนาวอยู่) แต่การได้มาเห็นสภาพของเกาะที่เคยยิ่งใหญ่ กับเรื่องราวมากมายบนเกาะด้วยตาตัวเอง ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามาก ๆ ครับ น่าเสียดายที่พอลมมันแรง ผู้เขียนเลยไม่ได้เก็บภาพมากสักเท่าไหร่ สิ่งที่เหลือยู่ตอนนี้คือความทรงจำ กับความคิดว่าจะกลับไปเยือนเกาะนั้นอีกสักครั้งในโอกาสที่ดีกว่าครั้งก่อน
เกาะเรือรบแห่งนี้ เป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของจังหวัดนางาซากิ ที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป แต่ถ้าหากมีโอกาส ทริปคิวชูครั้งหน้าหากใครผ่านไปแถวนางาซากิ ลองจองทัวร์ไปเยี่ยมชมเกาะนี้สักครั้ง รับรองว่าจะเป็นประสบการณ์พิเศษที่ลืมไม่ลงแน่นอน
มันอาจจะเป็นสัญลักษณ์ของความโหดร้ายในช่วงสงครามโลก เป็นแผลเป็นที่ไม่วันจางหาย แต่นั่นก็เป็นเครื่องเตือนใจเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีกในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ เช่นเดียวกับสถานที่หลาย ๆ แห่งในนางาซากิ และเป็นเรื่องราวหนึ่งในอีกหลาย ๆ เรื่องราวที่เกาะนี้อยากบอกเล่าให้คนรุ่นหลังได้รู้ผ่านซากปรักหักพังที่ข้ามผ่านกาลเวลาครับ