นี่คือหนึ่งในตำนานที่ยืนหยัดอย่างยาวนานกว่า 50 ปี และยังคงเป็น Independent Fashion Brand ที่มูลค่ามหาศาล การจากไปของ Giorgio Armani ในวัย 91 ปี คือการสิ้นสุดยุคของดีไซเนอร์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ไม่ได้สร้างแค่เสื้อผ้า แต่สร้างนิยามใหม่ของความสง่างามให้กับโลกใบนี้ วันนี้ MenDetails ขอพาทุกท่าน เดินทางสู่เมือง Milan ผ่านเรื่องราวและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ที่ต้องย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1975 พร้อมกับ Boutique ที่สร้างชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ให้กับแบรนด์บนถนน Via Sant’Andrea และชุดสูทแบบ Soft-Shouldered ที่คุณต้องเคยเห็นผ่านตา ไม่ว่าจะบนถนน หรือในภาพยนตร์จอเงินก็ตาม
ประวัติศาสตร์แห่งอาณาจักร Armani
Giorgio Armani เริ่มต้นอาณาจักรของตัวเองจากห้องพักเล็ก ๆ ในเมืองมิลาน ด้วยเงินทุนเพียง 10,000 ยูโรในปี 1975 อาณาจักรของเขาเติบโตอย่างก้าวกระโดดจนมียอดขายสูงถึง 2.3 พันล้านยูโร และขยายธุรกิจครอบคลุมทุกแขนง ตั้งแต่เสื้อผ้าแบบ Haute Couture ไปจนถึงไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ทั้งเฟอร์นิเจอร์ / โคมไฟ / เครื่องสำอาง / ช็อกโกแลต และแม้กระทั่งร้านดอกไม้
ความพิเศษของ Armani คือการที่เขาเป็นทั้งผู้ถือหุ้นเพียงคนเดียว และเป็นผู้นำด้านความคิดสร้างสรรค์มาตลอดชีวิตการทำงาน สิ่งนี้ทำให้เขาเป็น “ปรากฏการณ์” ที่หาได้ยากในวงการแฟชั่น โดยแบรนด์ในเครือของ Armani ได้รับการแบ่งระดับอย่างชัดเจนเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น Giorgio Armani (แบรนด์หลัก) / Emporio Armani (แฟชั่นสำหรับคนรุ่นใหม่) / Armani Exchange (สตรีทแวร์) / Armani/Casa (เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน) และ Armani/Dolci (ช็อกโกแลต)
การปฏิวัติวงการด้วยชุดสูทไร้โครงสร้าง
หากจะพูดถึงผลงานที่สร้างชื่อให้กับ Giorgio Armani ไปทั่วโลก คงหนีไม่พ้นการปฏิวัติวงการเสื้อผ้าผู้ชายด้วยการออกแบบชุดสูทแบบใหม่ ในปี 1980 เขาได้ออกแบบเสื้อผ้าให้กับภาพยนตร์เรื่อง American Gigolo โดยเฉพาะชุดสูทไร้โครงสร้าง (Deconstructed Suit) สำหรับนักแสดงนำอย่าง Richard Gere ที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของชุดสูทแบบดั้งเดิมไปอย่างสิ้นเชิง
ชุดสูทของ Armani โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่เน้นไหล่ที่นุ่มนวลและมีการเสริมโครงสร้างไหล่เพียงเล็กน้อย จนถึงไม่มีเลย (Soft-Shouldered) ซึ่งทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกสบาย / ผ่อนคลาย และสามารถขยับตัวได้ง่ายกว่าโครงสร้างแบบอื่น แต่ยังคงความสง่างามไว้อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งการออกแบบนี้ได้กลายเป็นเทรนด์สำคัญในยุค 80s และแพร่หลายไปทั่วโลก ดังที่ Richard Gere เคยกล่าวถึง Armani ในบทสัมภาษณ์ว่า “เขาเหมือนกำลังสอนผู้ชายทั่วโลกในเรื่องการแต่งตัวอยู่”
Armani on Screen – สไตล์ที่โลดแล่นบนจอภาพยนตร์
นอกจากการเป็นผู้นำในวงการแฟชั่นแล้ว Giorgio Armani ยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จด้านสไตล์ในโลกภาพยนตร์ โดยมีผลงานการออกแบบชุดที่สร้างชื่อเสียงอย่างล้นหลาม ดังเช่น:
- The Untouchables (1987) – ออกแบบชุดสูทให้ Kevin Costner และทีม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือและเฉียบคมในยุค 1920s
- Goodfellas (1990) – เสื้อผ้าของ Robert De Niro ในภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนสไตล์แบบผู้ชายมาเฟียที่ดูเรียบหรูและน่าเกรงขาม
- Gattaca (1997) – ออกแบบเครื่องแต่งกายแบบเรียบง่ายแต่ล้ำสมัยให้กับ Ethan Hawke ที่ดูเข้ากันกับบรรยากาศของภาพยนตร์แนว Sci-Fi ได้อย่างลงตัว
- The Dark Knight Rises (2012) – สร้างสรรค์ชุดสูทที่ดูทรงพลังและมีเอกลักษณ์ให้กับ Bruce Wayne (Christian Bale) ที่ช่วยเสริมบุคลิกภาพของตัวละครได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้ เขายังออกแบบเสื้อผ้าให้กับนักแสดงหญิงระดับโลกอีกมากมาย ทั้ง Cate Blanchett / Julia Roberts / Winona Ryder / และ Naomi Harris ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงอิทธิพลของเขาที่ครอบคลุมทุกวงการ
ผู้ควบคุมอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
นอกเหนือจากเสื้อผ้าแล้ว Armani ยังเป็น Lone Wolf ที่ควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเอง เขาเคยกล่าวว่าจุดอ่อนที่สุดของเขาคือการไม่สามารถปล่อยวางการควบคุมได้เลย ซึ่งอาจทำให้เขาสูญเสียความสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนบางส่วนไป แต่ในทางกลับกัน ความหลงใหลและทุ่มเทอย่างถึงที่สุดนี้เองที่ทำให้ Armani กลายเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอย่างเหนือชั้น
เขาคือดีไซเนอร์ที่ทุ่มเทอย่างสุดตัว แม้กระทั่งในงานแฟชั่นโชว์ เขาก็ยังเป็นคนสุดท้ายที่ตรวจสอบความเรียบร้อยของนางแบบก่อนเดินขึ้น Runway ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า เขาคือศิลปินที่มีหัวใจอยู่ในทุกรายละเอียดของงานที่ตัวเองหลงรัก
คำถามที่โลกยังหาคำตอบไม่ได้
การจากไปของเขาทำให้เกิดคำถามที่น่าสนใจว่า “แบรนด์ Armani จะดำรงอยู่ได้หรือไม่หากไม่มี Armani?” เพราะเขาคือผู้สร้างทุกอย่างขึ้นมาด้วยมือของตัวเอง และเป็นบทพิสูจน์ว่าสไตล์ที่แท้จริงคือสิ่งที่อยู่เหนือกาลเวลา Giorgio Armani คือความพิเศษที่โลกนี้อาจจะไม่มีวันได้เห็นอีกครั้ง “เพราะเขาคือชายผู้สร้างนิยามของความสง่างามที่เรียบง่าย แต่มีพลังและเป็นอมตะ”