Part 1 : The Great Migration – การอพยพของ Preppy Style
จากอเมริกาสู่ญี่ปุ่น
-เมื่อสไตล์ที่เกิดจากมหาวิทยาลัยชั้นนำอเมริกา เกือบจะตายไปในถิ่นกำเนิด แต่กลับไปเบ่งบานอย่างงดงามในแดนอาทิตย์อุทัย-
ในช่วงต้นทศวรรษ 1960s ขณะที่ Preppy Style หรือ Ivy League Look กำลังเป็นที่นิยมสูงสุดในอเมริกา มีกลุ่มช่างภาพญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งได้เดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อไปบันทึกภาพสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “การแต่งตัวที่สมบูรณ์แบบ” ของนักศึกษาอเมริกัน สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ตอนนั้นคือ พวกเขากำลังบันทึกประวัติศาสตร์ครั้งสุดท้ายของยุคทองของ Preppy Style ในอเมริกา การเดินทางครั้งนั้นได้กลายเป็นหนังสือ “Take Ivy” ที่จะมาเป็นแรงบันดาลใจให้ Preppy Style ฟื้นคืนชีพในหลายทศวรรษต่อมา และที่สำคัญที่สุด คือการที่ญี่ปุ่นได้กลายเป็นผู้พิทักษ์วัฒนธรรม Preppy ที่แท้จริงมากกว่าอเมริกาเสียอีก วันนี้ MenDetails ขออนุญาตพาทุกท่านย้อนเวลาไปสู่ Style ที่มีมนต์ขลังที่สุด Style หนึ่งบนโลกใบนี้ ผ่านแว่นตาของคนญี่ปุ่นกันครับ
ต้นกำเนิดของ Ivy League Style
Ivy League Style เกิดขึ้นในช่วงปี 1900s-1950s ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกาตะวันออก ได้แก่ Harvard, Yale, Princeton, Brown, Columbia, Cornell, Dartmouth และ University of Pennsylvania กลุ่มที่เรียกว่า “Ivy League” นักศึกษาจากครอบครัวที่มั่งคั่งเหล่านี้มีการแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์ ผสมผสานระหว่าง British Formal Wear กับ American Casualness – DNA ของ Ivy Style ประกอบด้วยเสื้อเชิ้ต Oxford Cloth Button-Down (OCBD) เสื้อโปโล Brooks Brothers เสื้อเบลเซอร์สีกรมท่า, กางเกงชีโน่สีกากี, รองเท้าโลฟเฟอร์ G.H. Bass Weejuns และ Accessories อย่าง เนกไท Rep ties, ลายตาราง Madras plaid และเสื้อสเวตเตอร์ผ้าเช็ทแลนด์ (Shetland)
สิ่งที่ทำให้ Ivy Style พิเศษคือ ความเป็น “Effortless Elegance” การแต่งตัวที่ดูดีโดยไม่ต้องพยายามเกินไป มีการศึกษาและรากเหง้าแต่ไม่อวดรวย มีความมั่นใจแต่ยังไม่หยิ่งยะโส
วันอำลาของยุคทอง
ช่วงปลายทศวรรษ 1960s และต้นทศวรรษ 1970s กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ Ivy Style ใน Counterculture Movement ที่นำโดย การประท้วงต่อต้านสงคราม และเดินขบวนรณรงค์สิทธิพลเมืองมากมาย ทำให้ Ivy League ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของเอกสิทธิ์ และความไม่เท่าเทียมทางสังคม ส่งผลให้ลูกหลานของ ผู้ที่มีฐานะดีเริ่มปฏิเสธการแต่งตัวแบบพ่อแม่ เปลี่ยนมาใส่เสื้อยืด, กางเกงยีนส์ และปล่อยผมยาว ทำให้แบรนด์อย่าง Brooks Brothers เริ่มขาดทุน ส่วน J. Press ต้องดิ้นรนด้วยการลดขนาดลง และหลายแบรนด์ที่ยืนหยัดในสไตล์ Ivy League ต้องปิดตัวลงในที่สุด
ในช่วงทศวรรษ 1980s อิทธิพลของโลกการเงินส่งเสริม “Wall Street fashion” ที่เน้นการแต่งกายให้ดูภูมิฐานและน่าเกรงขาม อย่าง Power Suit ของ Gordon Gekko ในภาพยนตร์เรื่อง “Wall Street” กลายเป็นการตอกย้ำให้ Ivy Style ดูคร่ำครึและไม่ทันสมัย การแต่งตัวแบบ WASP (White Anglo-Saxon Protestant) ถูกแทนที่ด้วย Italian Suits, European Fashion และ Designer Brands
Take Ivy – การบันทึกประวัติศาสตร์ครั้งสุดท้าย
ในปี 1965 ขณะที่ Ivy Style กำลังจะเริ่มเสื่อมถอยในอเมริกา กลุ่มช่างภาพญี่ปุ่นที่นำโดย Teruyoshi Hayashida ได้เดินทางไปยังมหาวิทยาลัย Ivy League เพื่อถ่ายภาพนักศึกษาในชีวิตประจำวัน โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก VAN แบรนด์เสื้อผ้าญี่ปุ่นที่ต้องการศึกษา American style ผลงานที่ได้คือหนังสือ “Take Ivy” ที่บันทึกภาพนักศึกษาใน Harvard, Yale, Princeton และ Columbia ด้วยสายตาของคนญี่ปุ่นที่เห็นความสวยงามในรายละเอียดที่คนอเมริกันชินตาจนอาจมองข้าม ภาพเหล่านี้แสดงให้เห็นภาพพจน์แห่งการเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ หรือ Natural Aristocracy ที่ไม่มีใครในอเมริกาคิดว่าจะหายไปในไม่ช้า
หนังสือเล่มนี้กลายเป็น documentary สุดท้ายของยุคทองของ Ivy Style และในขณะที่มันไม่ได้รับความสนใจมากในอเมริกา กลับกลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในญี่ปุ่น
VAN และการกำเนิดของ Ametora
Kensuke Ishizu ผู้ก่อตั้ง VAN ได้กลายเป็นบุคคลสำคัญในการนำ Ivy Style มาสู่ญี่ปุ่น เขาไม่ได้แค่เลียนแบบ แต่ศึกษาอย่างลึกซึ้งถึงรากเหง้าและปรัชญาที่อยู่เบื้องหลัง จนทำให้ VAN ไม่ใช่แค่แบรนด์เสื้อผ้า แต่สร้าง Lifestyle และถ่ายทอดความรู้ผ่านคู่มือ “VAN Jacket Ivy League Handbook” ที่สอนวิธีการแต่งตัว ประวัติศาสตร์ และแม้กระทั่งวิถีชีวิตแบบ Ivy League ทำให้ VAN ได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า “Ametora” ที่ย่อมาจาก “Amefuto Toradishonaru” (アメトラ) อันหมายถึง “วิถีอเมริกันดั้งเดิม” ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่เสื้อผ้า แต่รวมถึงดนตรีแจ๊ส, วรรณกรรมอเมริกัน, ประเพณีในมหาวิทยาลัย และแม้กระทั่งอาหารอเมริกัน
จิตวิทยาการรักษาวัฒนธรรม
ทำไมญี่ปุ่นถึงเป็นผู้รักษา Ivy Style ไว้ได้ดีกว่าอเมริกาเอง?
คำตอบอยู่ที่ความแตกต่างทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง
นิยมความสมบูรณ์แบบ (Perfectionist) – วัฒนธรรมญี่ปุ่นเน้นการทำให้ดีที่สุด (kaizen) และความใส่ใจรายละเอียด (omotenashi) เมื่อพวกเขาตัดสินใจศึกษา Ivy Style พวกเขาจึงทำอย่างถี่ถ้วนมากกว่าคนอเมริกันเอง ตั้งแต่การเลือกผ้า การตัดเย็บ ไปจนถึงการเรียนรู้ประวัติศาสตร์เบื้องหลัง
ตีความในมุมมองของคนนอก (Outsider) – การที่ญี่ปุ่นเป็น Outsider ทำให้พวกเขามอง Ivy Style ด้วยความรอบคอบและไม่มี Bias พวกเขาไม่ได้มองว่าเป็น Symbol ของ Inequality หรือ Old Wstablishment แต่มองเป็น Art Form ที่สวยงาม
การให้ค่าความดั้งเดิม (Authentic) – ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับ “Hon-Mono” (ของแท้) มาก พวกเขาศึกษาจนเข้าใจ DNA ของ Ivy Style แล้วจึงทำ Reproduction ที่ Perfect กว่า Original ในบางครั้ง
การสืบทอดและพัฒนาต่อ
ในขณะที่อเมริกาละทิ้ง Ivy Style ญี่ปุ่นได้พัฒนาต่อยอดอย่างต่อเนื่อง แบรนด์อย่าง Beams, United Arrows และต่อมา Engineered Garments ได้สร้างผลงานใหม่ๆ ที่ยังคงรักษาจิตวิญญาณ ของ Ivy แต่ปรับให้เข้ากับยุคสมัย การที่ญี่ปุ่นรักษา Ivy Style ไว้ไม่ใช่แค่การธำรงรักษาแต่เป็นการพัฒนาสานต่ออย่างมีจิตวิญญาณ พวกเขาเข้าใจว่า Ivy Style ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่เป็นวิถีชีวิตที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ และเน้นที่ภูมิปัญญามากกว่าฐานันดร
การที่ญี่ปุ่นกลายเป็นผู้พิทักษ์ Ivy Style แสดงให้เห็นถึงพลังของการสอดประสานและส่งเสริมทางวัฒนธรรม เมื่อวัฒนธรรมหนึ่งสามารถมองเห็นคุณค่าในอีกวัฒนธรรมหนึ่งได้ดีกว่าเจ้าของเดิมเสียอีก และมันคือจุดเริ่มต้นของการที่ Ivy Style จะกลับไปฟื้นคืนชีพในอเมริกาและแพร่กระจายไปทั่วโลกในทศวรรษต่อ ๆ มา ซึ่งในบทความหน้า MenDetails จะมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า สไตล์ดังกล่าว เข้ามาในความทรงจำของพวกเราได้อย่างไร